“ผมมีวิธีทำให้ผู้หญิงในสังคมยุคนี้
หยุดเฟียส หยุดเกรี้ยวกราดครับ..”
วันที่ 15 กรกฎาคมที่ผ่านมา กระแสวิพากษ์วิจารณ์ที่เกิดขึ้นในโลกออนไลน์เป็นวงกว้าง หลังดีเจอร์ราดโพสต์บทความ (?) ที่บอกชายแท้ว่า ‘จงเป็นคนดี’ ด้วยเหตุผลว่าหากผู้ชายทุกคนเป็นคนดี ก็จะสามารถเป็น ‘ผู้นำ’ ที่ช่วยให้สาว ๆ ลดความเฟียสหรือเกรี้ยวกราดลงได้
ไม่แน่ชัดว่าผู้เขียนตั้งใจให้เป็นบทเรียนสอนใจชาย หรือเป็นการแสดงความเห็นแบบสาธารณะ หรือข้อเสนอแนะเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม แต่เนื้อหาที่พูดถึงความแตกต่างของหญิง-ชาย ก็เต็มไปด้วยการตอกย้ำบทบาททางเพศในสังคมอย่างชัดเจนจนทำให้โพสต์นี้ถูกตั้งคำถาม โดยเฉพาะเมื่อเกิดขึ้นในช่วงที่สังคมกำลังถกเถียงกันประเด็นการนอกใจของนักร้องนำวง Only Monday ที่เพิ่งออกมาขอโทษและยอมรับว่าตนเองนอกใจอดีตแฟนสาวจริง โพสต์ของดีเจอร์ราดจึงถูกโยงไปว่าหรือนี่คือความพยายามกู้ศักดิ์ศรีให้ผู้ชาย ที่ออกมาในรูปแบบการสอนชายแต่กดหญิงเสียอย่างนั้น เพราะสะท้อนทัศนคติที่มองว่าความเกรี้ยวกราดของผู้หญิงคือปัญหาที่ต้องได้รับการเยียวยา ด้วยการมี ‘ผู้ชายดี ๆ’ เป็นผู้นำให้ผู้หญิงสะท้อนตาม
#สรุปคือผู้ชายเป็นช้างเท้าหน้า – ที่แปลว่าเป็นตัว(คน)ที่เดินนำหน้าทำหน้าที่เป็นผู้นำ แต่เรายังเชื่อแบบนั้นในปี 2025 หรือ?
“ธรรมชาติของเพศชายนั้นเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำครับ
พวกเราเกิดมาเพื่อเป็น ผู้ปกครอง ผู้ปกป้อง ผู้ดูแล
เพราะงั้นเพศชายจึงควรเป็นผู้นำของความเปลี่ยนแปลง
เพื่อให้ผู้หญิงไม่เฟียสหรือเกรี้ยวกราด”
คงไม่แย่นักหากเนื้อหาข้างต้นเป็นการพูดลอย ๆ ไร้ซึ่งการชักชวนให้เชื่อถือ หรือพยายามชี้ว่านี่คือข้อเท็จจริง เพราะตั้งแต่ประโยคแรกจนถึงประโยคสุดท้าย ไม่มีส่วนไหนเลยที่มี ‘ข้อเท็จจริง’ มาการันตี แนวคิดที่ดีเจอร์ราดกล่าวถึงตั้งอยู่บนฐานของ ‘Gender Role’ หรือบทบาททางเพศแบบดั้งเดิมที่สังคมยัดเยียดให้หญิงและชายมาอย่างยาวนาน แนวคิดนี้เป็นเหมือนกรอบแคบ ๆ ที่เหมารวมว่าผู้ชายต้องเข้มแข็ง กล้าแสดงออก และเป็นผู้นำ ขณะที่ผู้หญิงควรอ่อนหวาน นุ่มนวล และอยู่ในบทบาทที่ดูเรียบร้อย และเป็นผู้ตาม ทั้งทฤษฎีและการศึกษาทางเจนเดอร์พิสูจน์กันมานานแล้วว่าเพศสภาพไม่ใช่สิ่งที่ติดตัวเรามาตั้งแต่เกิด แต่เป็นสิ่งที่ ‘สังคมสร้างขึ้น’ หรือที่พูดติดปากกันว่า “Gender Is Socially Constructed” ความเป็นชายหรือหญิงที่เราเห็นจึงเป็นผลจากการเรียนรู้ร่วมกันในสังคม ผ่านการปลูกฝังและหล่อหลอมจากคนรอบข้าง ไม่ใช่ข้อเท็จจริงที่เปลี่ยนไม่ได้ ดังนั้นการอ้างลักษณะนิสัยตามเพศ เช่น “ธรรมชาติพื้นฐานของชายคือความแข็งแกร่ง” หรือ “พื้นฐานของเพศหญิงต้องเป็นความอ่อนโยน” จึงเป็นเนื้อหาที่ไม่ใช่ข้อเท็จจริงแล้วยังล้าหลัง และสะท้อนค่านิยมเก่า ๆ ที่ควรถูกตั้งคำถามมากกว่าจะถูกแชร์ต่อในฐานะ ‘ข้อเสนอเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคม’
#ความเฟียสของผู้หญิงมาจากความเคียดแค้น – จริง ๆ แล้วมาจากการสั่งสมพลังและความกล้า ที่ไม่ว่าจะมีผู้ชายหรือไม่ ผู้หญิงก็จะยังเฟียสได้อยู่ดี
สาวสายเฟียสหลายคนแสดงความเห็นท่ามกลางการถกเถียงบนโซเชียลว่าจริง ๆ แล้วปัจจัยการเฟียสมีผู้ชายมาข้องเกี่ยวอยู่น้อยมาก การเป็นหญิงเฟียสตั้งต้นด้วยตัวเอง ไต่เต้าด้วยตัวเอง และเป้าหมายคือการเฟียสไปวัน ๆ ไม่สนใจใคร อย่างไรก็ตาม เมื่อเปลี่ยนแพลตฟอร์มแล้วกลับมาอ่านที่ช่องของดีเจอร์ราดก็ยิ่งชัดเจนว่าเรายังอยู่ในสังคมที่อัปเดตข่าวทุกวัน แต่ความเชื่อเรื่องเพศยังพัฒนาแบบก้าวหน้า 2 ก้าวหลัง 3 ข้อความที่เต็มไปด้วยการสนับสนุนอย่างมั่นใจว่า “การเฟียสไม่ใช่ธรรมชาติของผู้หญิง” หรือ “ผู้หญิงที่เกรี้ยวกราดจริง ๆ แล้วก็แค่เจ็บปวดจากผู้ชายที่ไม่ดี” เหมือนพยายามเห็นอกเห็นใจ แต่จริง ๆ คือการเหมารวมว่า ถ้าเฟียสคือผิดปกติ ถ้าเกรี้ยวกราดก็แปลว่ามีปมในใจ สิ่งนี้ไม่ได้แสดงถึงความเห็นใจ หรือแม้แต่ความเข้าใจ แต่สะท้อน Gender Role โบร่ำโบราณที่ยังฝังหัว แบบที่ไม่แน่ใจว่าไม่ได้อัปเดตชุดความรู้ หรือเลือกจะเชื่อแนวคิดเดิม ๆ เพราะการอยู่ในโลกที่ผู้ชายเป็นผู้นำและผู้หญิงยิ้มหวาน มันสบายดีอยู่แล้ว
และหากมองว่ายิ่งผู้ชายทำตัวแย่ ผู้หญิงยิ่งเคียดแค้น การชวนให้ผู้ชายตบเท้ารวมตัวกันทำตัวเป็น ‘ผู้นำ’ อาจไม่ใช่หนทางที่จะพาไปถึงฝั่งฝันได้ และนั่นพิสูจน์ได้ง่าย ๆ ด้วยการอ่านความเห็นบนโซเชียลมีเดียที่เหล่าผู้หญิงเฟียสดูเหมือนจะยิ่ง ‘เคียดแค้น’ ที่ผู้ชายดี ๆ ขออาสาเป็นช้างเท้าหน้านำพวกเธอไปสู่ความสงบ
อ้างอิง
D Gerrard: https://bit.ly/3IPj0QI
matichon: https://bit.ly/4m1ckO3
psychologytoday: https://bit.ly/44QSTAi
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น