Spectrum

ถ้าสังคมห่วงผู้หญิงถูกคุกคามเท่าที่ห่วงผู้ถูกกล่าวหาเสียอนาคต ความรุนแรงทางเพศคงหมดไปนานแล้ว

3 นาที

1

Share to

เมษายน 22, 2025

3 นาที

1

เมษายน 22, 2025

Share to

‘คำพูด’ ก็เป็นการคุกคามทางเพศที่แม้ไม่มีร่องรอยทางกาย ก็สามารถสร้างบาดแผลทางจิตใจได้ไม่น้อยไปกว่า ‘การกระทำ’  อีกครั้งที่สังคมตั้งคำถามจากกรณีที่ถูกเรียกว่าเป็นเรื่อง  ‘He said, She siad’ ที่ไม่มีหลักฐานอื่นใดนอกจากคำพูดของเจ้าของประสบการณ์

เมื่อวันที่ 20 เมษายนที่ผ่านมา บัญชีเฟสบุ๊คของผู้หญิงคนหนึ่ง เล่าถึงประสบการณ์ที่เธอถูกผู้ชายคนหนึ่งคุกคามทางเพศ ณ สวนเบญจกิติ โดยเหตุการณ์เกิดขึ้นขณะที่เธอวิ่งออกกำลังกายแยกกับแฟนหนุ่ม ชายอายุประมาณ 45-55 ปี เดินสวนทางมาในระยะเอื้อมมือถึง ส่งรอยยิ้มแปลก ๆ แล้วพูดว่า “น่าเe็ดจัง” หลังเกิดเหตุ เธอเรียกชายคนนั้นมาถามตรง ๆ แต่เขาปฏิเสธและอ้างว่าตนแค่บ่นว่า “เหนื่อย” พร้อมทั้งแสดงท่าทีจะหนี แฟนของเธอจึงเข้าควบคุมตัว และมีรปภ. เข้ามาช่วย ชายคนดังกล่าวปฏิเสธสิ่งที่เธอได้ยิน แต่ก็ได้ขอโทษที่ทำให้เข้าใจผิด หญิงสาวระบุว่าชายคนดังกล่าวอาศัยจังหวะชุลมุนหลบออกไป อย่างไรก็ตาม หญิงสาวได้เข้าลงบันทึกประจำวันที่ สน.ลุมพินี พร้อมทั้งเน้นว่าเหตุการณ์แบบนี้ไม่ควรถูกมองข้าม 

เรื่องราวดังกล่าวกลายเป็นข้อถกเถียงเรื่องความไม่มีหลักฐาน และสถานการณ์ที่ไร้พยาน เนื่องจากเป็นเสียงพูดที่ได้ยินกันระหว่าง 2 คน หรือที่เรียกกันว่าเป็นเคส ‘He said, She siad’ ที่มักเกิดขึ้นในกรณีการคุกคามทางเพศที่เกิดเหตุขณะไม่มีหลักฐานและพยาน และเมื่อเรื่องราวนี้ถูกโพสต์ผ่านโซเชียลมีเดียจึงเป็นอีกครั้งที่ผู้เล่าถูกตั้งคำถาม 

ในโพสต์ของเพจที่แชร์เรื่องนี้เต็มไปด้วยคำถามว่าการคุกคามที่ไม่มีทั้งพยานบุคคลและวัตถุ จะเข้าข่ายหมิ่นประมาทต่อผู้ถูกกล่าวหาหรือไม่ จะเป็นอย่างไรหากเขาไม่ได้พูดออกไปอย่างที่หญิงสาวได้ยิน อีกหลายคนตั้งคำถามว่าถ้าหากเหตุการณ์นี้บานปลายจนเปิดเผยตัวตนของชายคนดังกล่าว อาจเป็นการทำร้าย-ทำลายอนาคตและภาพลักษณ์ของชายคนนี้หรือไม่ ในขณะที่ผู้หญิงต้องเปิดเผยใบหน้าและชื่อสกุล ต้องเล่าประสบการณ์ลงในบัญชีส่วนตัว ต้องเจอกับคำพูดไกล่เกลี่ยจากหนึ่งในรปภ.ชาย ที่พยายามปกป้องผู้ชายว่า “ยอม ๆ ให้จบ ๆ ไป…ผู้ชายยอมยกมือไหว้ขอโทษก็ถือว่าเขาสำนึกแล้ว” นอกจากเธอจะสูญเสียความเป็นส่วนตัวและช่วงเวลาดี ๆ ในวันหยุด เธอยังต้องเผชิญกับการตั้งคำถามและการพยายามขุดคุ้ยพฤติกรรมการใช้ชีวิต มีกลุ่มคนที่ตั้งคำถามพร้อมยกกรณีหนุ่มรองเท้าเป็นรู–ชายผู้ตกเป็นจำเลยสังคมจากความหวาดระแวงของผู้หญิง–มาคาดคั้นทวงความยุติธรรมให้แก่ชายแปลกหน้าที่หลบหนีออกจากจุดเกิดเหตุทันทีที่กล่าวขอโทษ

#Metoo ที่เริ่มต้นในปี ค.ศ. 2006 เป็นปรากฏการณ์ความกล้าของผู้หญิงที่ก้าวออกมาจากความกลัว แฮชแท็กนี้ใช้เวลานานกว่า 10 ปีกว่าจะปลุกความกล้าของผู้หญิงให้ออกมาพูดได้ว่าพวกเธอเคยเจอการคุกคามในลักษณะใดบ้าง ภายในไม่กี่ปีหลังจากการคุกคามทางเพศถูกทำให้เป็นเรื่อง ‘ยอมรับไม่ได้’ ในระดับสากล มีผลสำรวจพบว่าหลังปรากฎการณ์ #Metoo ทำให้ผู้ชาย ‘หวาดหลัว’ การใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะร่วมกับผู้หญิง 27% ของผู้ชายหลีกเลี่ยงการประชุมหรือทำงานตัวต่อตัวกับเพื่อนร่วมงานหญิง 21% บอกว่าพยายามไม่จ้างงานผู้หญิงในตำแหน่งที่ต้องทำงานใกล้ชิด และอีก 19% ไม่อยากจ้างงานผู้หญิงหน้าตาดี การออกมาพูดเรื่องการคุกคามทางเพศที่ควรจะนำกฏหมายจำกัดการคุกคามทางเพศมาให้ กลับนำการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิงกลับมาสู่โลกการทำงานอีกครั้ง หนำซ้ำยังถูกถามต่อด้วยว่าสุขภาพจิตของผู้ชายต้องเสียไปแค่ไหนเพื่อระวังตัวจากการกระทำที่อาจจะทำให้อีกฝ่ายเข้าใจว่าเจตนาคุกคามทางเพศ และหากกล่าวอย่างตรงไปตรงมา การเลือกปฏิบัติทางสถิติที่ผู้หญิงได้รับหลังการพูดเรื่องคุกคามทางเพศก็คือคำตอบว่าสังคมไม่อยากจะผลักดันผู้หญิงให้ยืนเสมอหน้า และพร้อมจะผลักผู้หญิงกลับไปในบ้านในครัวหากนั่นจะทำให้เพื่อนร่วมงานชายสบายใจมากกว่าในที่ทำงาน

ผู้หญิงไทยถูกเพื่อนร่วมงานคุกคามทางเพศโดย 81.75% เป็นเพื่อนร่วมงานชาย ผู้หญิงไทยถูกคุกคามทางเพศบนรถสาธารณะมากที่สุด และผู้ก่อเหตุโดยส่วนใหญ่เป็นผู้ชาย จากเด็กและเยาวชนไทย 1,097 ราย (2564-2566) ผู้ตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศ 88% เป็นเด็กผู้หญิง ความเห็นที่กล่าวว่าเธอแค่หูแว่วได้ยินผิด คงลืมเลือนไปว่าผู้หญิงต้องคอยปรับตัว ต้องระแวงระวัง ปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการใช้ชีวิต ตาต้องสอดส่อง หูต้องคอยเงี่ยฟัง และวิตกกังวลทุกครั้งที่ออกไปข้างนอก ทั้งหมดเพียงเพื่อรักษาความปลอดภัยของตนเองและเสี่ยงถูกทำให้กลายเป็นเรื่องคิดไปเองหรือแค่อยากเรียกร้องความสนใจ

สังคมยังคงพร้อมช่วยเหลือผู้ชายอย่างเต็มใจ คอมเมนต์์ส่วนใหญ่เต็มไปด้วยการตั้งคำถามต่อผู้ที่ออกมาแชร์ประสบการณ์ บางคนฟันธงว่าข้อกล่าวหาฟังไม่ขึ้น เหตุผลไม่เพียงพอ พร้อมสนับสนุนให้ผู้ถูกกล่าวหาฟ้องกลับ ขณะที่บางคนบอกว่าเป็นแค่ลมปาก หากเป็นตนเองคงปล่อยผ่านและไม่เอาความใด ๆ ในขณะที่ บางส่วนก็เห็นใจแต่ยังไม่ปักใจเชื่อฝ่ายใดทั้งนั้น นอกจากนี้ยังมีส่วนที่ชี้เห็นให้ว่าเรื่องนี้อาจไม่เดือดร้อนทั้งสองฝ่ายไปมากกว่านี้หากสังคมไม่ตามขุดคุ้ยและปล่อยให้เรื่องผ่านไปโดยไม่มีใครถูกประจาน สิ่งนี้น่ากังวลว่าหากมีเหตุการณ์คล้ายกันนี้เกิดขึ้นอีกครั้ง ผู้เสียหายจะทำอย่างไร และต้องใช้ความกล้าแค่ไหนเพื่อพูดเรื่องที่สังคมไม่พร้อมจะเชื่อตั้งแต่ต้น

คงดีกว่านี้มากหากสังคมช่วยกันรุมตั้งคำถาม ทวงความยุติธรรม ชวนผู้ชายปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไม่ให้เข้าข่ายล่วงละเมิดทางเพศไม่ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่เจตนา และระแวดระวังร่วมกันไม่ให้ใครต้องตกเป็นเหยื่อการล่วงละเมิดทางเพศในที่สาธารณะอีก

Content by Editorial Team

Graphic by Kasidit Taranabhaiboon

อ้างอิง

hfocus: https://bit.ly/4iovaw8

thairath: https://bit.ly/4lI2Ho0

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl