ปารัสตู อาห์มาดี (Parastoo Ahmadi) นักร้องหญิงชาวอิหร่าน ถูกจับกุมเมื่อวันอาทิตย์ที่ผ่านมา (15 ธ.ค.) หลังจัดคอนเสิร์ตออนไลน์โดยไม่สวมฮิญาบ ซึ่งถือเป็นการฝ่าฝืนกฎหมายศีลธรรมที่เข้มงวดที่สุดของสาธารณรัฐอิสลามอิหร่าน
ในวิดีโอความยาว 27 นาที อาห์มาดีปรากฏตัวในชุดเดรสแขนกุดและปล่อยผมยาว โดยมีนักดนตรีชาย 4 คนร่วมแสดงในคาราวานเซราย (Caravanserai) ที่พักขนาดเล็กที่สร้างขึ้นในอดีตตามเส้นทางสายไหมเพื่อให้พ่อค้าและนักเดินทางใช้พักผ่อน โดยในระหว่างคอนเสิร์ตออนไลน์ของเธอที่ถ่ายทอดผ่านโซเชียลมีเดียและ YouTube ซึ่งมียอดเข้าชมหลายล้าน อาห์มาดีประกาศอย่างกล้าหาญว่า “ฉันคือปารัสตู หญิงสาวที่ต้องการร้องเพลงเพื่อผู้คนที่ฉันรัก นี่คือสิทธิที่ฉันไม่อาจมองข้ามได้—การร้องเพลงเพื่อแผ่นดินที่ฉันรักด้วยหัวใจ” ส่งเสียงต่อต้านระบอบการปกครองที่จำกัดสิทธิและเสียงของสตรี
มิลาด ปานาฮิปูร์ ทนายความชาวอิหร่าน เปิดเผยกับสำนักข่าว AP ว่าแม้อาห์มาดีถูกจับกุมในวันเสาร์ที่ผ่านมา แต่ยังไม่มีข้อมูลชัดเจนเกี่ยวกับข้อกล่าวหา หน่วยงานที่จับกุม หรือสถานที่ที่เธอถูกคุมขัง ด้านฝ่ายตุลาการของอิหร่านยืนยันว่ามีการเปิดคดีเกี่ยวกับการแสดงดังกล่าว โดยระบุผ่านสำนักข่าวรัฐบาล Mehr News Agency ว่า อาห์มาดีถูกปล่อยตัวเป็นที่เรียบร้อยหลังจากถูกสอบปากคำ “ศูนย์ข้อมูลตำรวจมาซานดารานประกาศว่า นางสาวปารัสตู อาห์มาดี ได้เข้าร่วมการพิจารณาคดีเกี่ยวกับวิดีโอที่ถือว่าขัดต่อบรรทัดฐานและค่านิยมทางวัฒนธรรม และเธอจะต้องไปพบกับเจ้าหน้าที่ฝ่ายตุลาการต่อไป”
อิหร่านมีกฎหมายบังคับให้ผู้หญิงสวมฮิญาบในที่สาธารณะมาตั้งแต่การปฏิวัติอิสลามปี ค.ศ. 1979 และมีการต่อต้านจากประชาชนในประเทศรวมทั้งจากนักสิทธิมนุษยชนทั่วโลกมาโดยตลอด แต่ประเด็นนี้กลายเป็นจุดสนใจในระดับนานาชาติอีกครั้งในปี ค.ศ. 2022 เมื่อ มาห์ซา อามินี หญิงสาววัย 22 ปี ถูกจับกุมข้อหาสวมฮิญาบไม่เรียบร้อย และเสียชีวิตเพียง 3 วันหลังถูกควบคุมตัว แม้รัฐบาลอิหร่านจะอ้างว่าอามินีเสียชีวิตจากอาการป่วย แต่กลุ่มสิทธิมนุษยชนและสหประชาชาติระบุว่าเธอถูกทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิต
ในปี ค.ศ. 2023 ภายใต้การบริหารของประธานาธิบดี มาซูด เปเซชเคียน (Masoud Pezeshkian) ซึ่งเป็นนักปฏิรูป การบังคับใช้กฎหมายฮิญาบดูเหมือนจะผ่อนปรนลง โดยตำรวจศีลธรรมได้รับคำสั่งให้ตักเตือนแทนการดำเนินคดีทันที อย่างไรก็ตาม ในเดือนกันยายนที่ผ่านมา รัฐสภาอิหร่านได้ผ่านร่างกฎหมายฮิญาบและความสุภาพเรียบร้อย ที่เพิ่มบทลงโทษสำหรับผู้ฝ่าฝืนอย่างรุนแรง ไม่เพียงแต่ในพื้นที่สาธารณะ แต่ยังรวมถึงในโลกออนไลน์ด้วย ตามรายงานของ Human Rights Watch กฎหมายใหม่มีบทลงโทษเป็นค่าปรับจำนวนมาก การจำกัดการเดินทาง และโทษจำคุกระยะยาว โดยกำหนดใช้เป็นเวลา 3 ปี ทำให้หลายฝ่ายมองว่านี่คือเครื่องมือทางการเมืองชั้นดีในการกดขี่ผู้หญิงชาวอิหร่าน
การจับกุมอาห์มาดีทำให้เกิดความไม่พึงพอใจในวงกว้างทั้งในหมู่ผู้หญิงชาวอิหร่านและคนทั่วโลก แคมเปญบนโซเชียลมีเดีย อย่าง #EndGenderApartheid กำลังได้รับแรงสนับสนุน โดยผู้ใช้เรียกร้องให้มีการดำเนินการระดับโลกเพื่อต่อต้านนโยบายที่เลือกปฏิบัติของอิหร่าน หลายคนเปรียบเทียบระบบกฎหมายของอิหร่านกับระบอบการแบ่งแยกสีผิวในอดีต และย้ำถึงความจำเป็นที่จะต้องทำให้อิหร่านรับผิดชอบต่อการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง เพราะการจับกุมครั้งนี้เป็นเครื่องเตือนใจถึงความเสี่ยงที่ผู้หญิงในอิหร่านต้องเผชิญ เมื่อพวกเธอแสดงออกทางความคิดท้าทายระบอบการปกครองที่กดขี่และแบ่งแยกตน
Content by kulkul
อ้างอิง
Parastoo Ahmadi: https://bit.ly/3ZUBNjV
nbcnews: https://bit.ly/3OXRwbs
observerdiplomat: https://bit.ly/3P0R5NW
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”