Spectrum

“ลูกเป็นอะไรก็ได้” ที่ไม่ใช่เพศไหนก็ได้ บทสรุปจากแต่ละมื้อ แต่ละเดย์ : ในวันที่พ่อแม่ไม่เข้าใจเพศลูก คำว่าครอบครัวไม่ควรเป็นแค่เรื่องของพ่อแม่ลูก

3 นาที

3

Share to

พฤษภาคม 31, 2025

3 นาที

3

พฤษภาคม 31, 2025

Share to

“ลูกจะเป็นอะไรก็ได้”

ที่ไม่ได้หมายถึง ‘เพศ’ แต่หมายถึงหน้าที่การงานและความเป็นอยู่ 

บทสนทนาว่าด้วยเรื่องสถาบันครอบครัวในประเทศไทยที่ยังไม่ใช่พื้นที่ปลอดภัยให้กับ ‘ลูก’ และ ‘พ่อแม่’ หรือ ‘ปกครอง’ ภายใต้เรื่องกลุ่มความหลากหลายทางเพศ เสียงจากคุณพีราณี ตัวแทนด้านสิทธิเด็ก และคณะอาจารย์ผู้เชี่ยวชาญเรื่องสุขภาพจิตของเด็กรวมถึงด้านกฎหมาย กลุ่มตัวแทนที่มาร่วมพูดคุยถึงสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นในสถาบันครอบครัวของสังคมไทย ในเสวนา ‘แต่ละมื้อ แต่ละเดย์ วันที่ไม่เข้าใจเพศลูก’

องค์ประกอบของคำว่า ‘ครอบครัว’  ในความเข้าใจของคนไทยส่วนใหญ่มักผูกติดอยู่กับภาพจำดั้งเดิม คือ พ่อเป็นหัวหน้าครอบครัว แม่คือแม่บ้านผู้ดูแลบ้าน และลูกคือผลผลิตของทั้งคู่ แต่ในปัจจุบัน ค่านิยมเหล่านี้เริ่มเปลี่ยนไป ผู้คนจำนวนไม่น้อยเลือกที่จะไม่แต่งงาน หรือใช้ชีวิตคู่โดยไม่มีลูก คำนิยามของคำว่าครอบครัวของแต่ละคนเลยค่อย ๆ เปลี่ยนไปจากเดิม ที่แต่ก่อนต้องมีสามบทบาทหลักเท่านั้น สำหรับกลุ่มคนหลากหลายทางเพศ แม้กฎหมายสมรสเท่าเทียมจะเพิ่งมีผลบังคับใช้ในเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ยังคงมีอุปสรรคที่ฝังรากลึกอยู่ ทั้งบุพการี กฎหมาย และบรรยากาศในสังคมที่ยังคงมีภาพจำโครงสร้างเดิมของสถาบันครอบครัว สิ่งที่งานนี้เน้นย้ำมากที่สุด คือ ‘การสื่อสาร’ ซึ่งเป็นแกนหลักใน การเปิดพื้นที่ให้เกิดความเข้าใจ ยอมรับ และร่วมกันสร้างพื้นที่ปลอดภัยสำหรับครอบครัวในทุกรูปแบบ 

#อยากให้ลูกยังคงเป็นเด็ก – ในแบบที่ผู้ปกครองวาดกรอบไว้

เรื่องแรกที่งานได้เจาะลึกคือการพูดถึงสถานการณ์ปัจจุบันของสถาบันครอบครัวที่กำลังเกิดขึ้น โดยเริ่มจากมุมมองของเด็กหรือในตัวแทนของลูกที่อยู่ในกลุ่มหลากหลายทางเพศ พื้นที่ที่ใกล้ชิดกับเด็กหรือเยาวชนมากที่สุดคือ ‘โรงเรียน’ และปัญหามากที่สุดจากโรงเรียนคือกฎระเบียบ เฉพาะอย่างยิ่งเรื่องทรงผมและชุดนักเรียน ที่ยังไม่สามารถทำทรงผมหรือใส่ชุดตามอัตลักษณ์ทางเพศของตนเองได้ ซึ่งกฎระเบียบนโยบายเหล่านี้การตัดสินใจเห็นด้วยเป็นเรื่องจากผู้ปกครอง ตัวแทนจาก Save the children Thailand ได้กล่าวว่าในระดับโรงเรียนมีเพียงแค่หนึ่งโรงเรียนจากหลายสิบโรงเรียน อนุญาตให้เด็กไว้ทรงผมอะไรก็ได้ สาเหตุที่จำนวนน้อยเนื่องจากส่วนใหญ่ผู้ปกครองหลายคนยังคงมองว่า ‘ไม่อยากให้ลูกดูโตเกินไป’ หรือแสดงออกทางเพศมากเกินไป กลัวว่าถ้าการที่ทำผมอะไรก็ได้ แต่งตัวอะไรก็ได้จะเกิดผลกระทบตามมา จนไปถึงผู้ปกครองมักกลัวว่าเมื่อลูกได้ในสิ่งที่ขอแล้วจะขอสิ่งอื่นมากขึ้น ซึ่งถือว่าเป็นพฤติกรรมที่กำจัดพื้นที่ในการแสดงออกตามตัวตนของตนเอง

ในงานได้ระบุถึงงานวิจัยที่สำรวจกลุ่มเยาวชนอายุระหว่าง 15 ถึง 24 ปี จำนวน 3,000 คน ที่สะท้อนภาพความจริงอันน่าเป็นห่วงของโครงสร้างครอบครัวในปัจจุบัน สำหรับเด็กหรือเยาวชนกลุ่มหลากหลายทางเพศ ซึ่งการไม่ยอมรับเกิดขึ้นใน 3 รูปแบบหลัก ได้แก่ ร้อยละ 42 เคยถูกบังคับให้เปลี่ยนหรือปกปิดการแสดงออกทางเพศ และพยายามให้เป็นตามเพศกำเนิด ร้อยละ 70 เผชิญกับการเลือกปฏิบัติจากครอบครัว โรงเรียน หรือหน่วยงานรัฐ และมากถึงร้อยละ 80 เคยถูกล้อเลียน ทำร้ายร่างกาย หรือประสบความรุนแรงทางเพศ

ผู้ปกครองจำนวนไม่น้อยยังคงมีมุมมองว่า “อะไรก็ได้ตราบใดที่ไม่เกิดขึ้นกับลูกของตัวเอง” พวกเขาอาจเปิดกว้างให้ลูกเป็นเพื่อนกับคนที่มีความหลากหลายทางเพศ แต่เมื่อถึงวันที่ต้องยอมรับว่า “ลูกของตัวเอง” เป็นหนึ่งในนั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ยากจะทำใจ เพราะไม่อาจสลัดความคาดหวังเดิมที่อยากให้ลูกเติบโตมาในเพศตามกำเนิด เมื่อการเปิดเผยตัวตนทางเพศของลูกเกิดขึ้น กลายเป็นปัญหาของคำว่าครอบครัว ที่บังคับลูกให้เป็นในแบบที่ตนต้องการ การเลือกปฏิบัติ และจนกระทั่งการทำร้ายร่างกายจากตัวของพ่อแม่ ปกครองเอง เพียงเพราะลูกไม่ได้เป็นในแบบที่ปกครองต้องการอีกต่อไป

#ครอบครัวที่ดี – ยังถูกจำกัดความที่ครอบครัวตามตามค่านิยม

ผู้เข้าร่วมเสวนาเสนอประเด็นว่าปัญหาที่ขวางกั้นความเข้าใจเรื่องเพศในสังคมไทยคือพื้นที่สำหรับการเรียนรู้และพูดคุยเรื่องเพศยังคงมีอยู่น้อยมาก สาเหตุสำคัญมาจากการปลูกฝังเพศที่มีแค่สองแบบคือชายและหญิง ที่ฝังรากลึกอยู่ในวัฒนธรรมไทยมายาวนาน ส่งผลให้กลุ่ม LGBTQ+ ยังคงถูกมองว่าเป็น ‘สิ่งแปลกปลอม’ ในสังคม โรงเรียนซึ่งควรเป็นพื้นที่แห่งการเรียนรู้แต่กลับมีเพียงส่วนน้อยเท่านั้นที่สื่อสารหรือสอนเรื่องเพศอย่างตรงไปตรงมา หลายฝ่ายจึงมองว่าสังคมต้องพยายามทำให้การพูดคุยเรื่องเพศเป็นเรื่องธรรมดา ปกครองต้องไม่เพียงแค่ต้อง ‘ยอมรับ’ แต่ควรเปิดใจเพื่อ ‘เข้าใจ’ ความรู้สึกและตัวตนของลูก ขณะเดียวกันลูกเองก็ควรรู้สึกว่าการพูดเรื่องเพศในครอบครัวไม่ใช่เรื่องต้องหลบซ่อน แต่เป็นเรื่องปกติที่สามารถสื่อสารกันได้อย่างตรงไปตรงมา ความเชื่อที่ฝังแน่นว่าครอบครัวที่ดีคือครอบครัวที่ไม่มีปัญหา แต่แท้จริงแล้ว ‘ครอบครัวที่ดี’ ควรรวมถึงการเป็นครอบครัวที่สามารถพูดคุยกันได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่งเรื่องเพศ

สำหรับด้านกฎหมายแม้ประเทศไทยจะก้าวหน้าไปอีกขั้นด้วยการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม แต่ในทางกฎหมายครอบครัว ยังมีหลายประเด็นสำคัญที่ยังไม่ได้รับการแก้ไข โดยเฉพาะเรื่องสถานะของ ‘บิดา มารดา และบุตร’ ซึ่งปัจจุบันยังคงมองแค่ภาพของเรื่องของคนสองคน แต่ยังไม่มีการพูดถึงสิทธิและสถานะของเด็กที่เติบโตมาในครอบครัวของคู่รักเพศหลากหลายอย่างจริงจัง ขณะเดียวกัน ระบบกฎหมายยังคงให้อำนาจเด็ดขาดแก่ปกครองในการตัดสินใจแทนบุตร โดยไม่มีหลักเกณฑ์ที่เปิดพื้นที่ให้เสียงของเด็กมีความหมาย ในขณะที่หลายประเทศเริ่มมองบทบาทของ ‘ปกครอง’ ในฐานะผู้รับผิดชอบต่อเด็ก ไม่ใช่ผู้มีอำนาจเหนือเด็ก แต่ในประเทศไทย แนวคิดนี้ยังไม่ถูกร่างเป็นกฎหมายอย่างเป็นรูปธรรม ทำให้เกิดช่องว่างสำคัญสองประการ คือ การไม่รับรองสถานะของบุตรในครอบครัวเพศหลากหลาย และการที่เด็กยังไม่มีพื้นที่ในการมีส่วนร่วมกับการตัดสินใจที่ส่งผลต่อชีวิตตนเอง 

ในช่วงปิดท้ายของการเสวนา ประเด็นเรื่อง ‘ครอบครัว’ จึงได้สรุปว่าไม่ควรเป็นเพียงเรื่องส่วนตัวอีกต่อไป ทุกวันนี้ หลายครอบครัวไม่มีทั้งเวลาและพื้นที่สำหรับการเลี้ยงดูเชิงบวก ภาพของ ‘ผู้ปกครองที่ต้องเลี้ยงลูกให้ดี’ กับ ‘ผู้ปกครองที่ดี’ กลับกลายเป็นคนละภาพกัน เพราะไม่มีระบบใดมารองรับหรือสนับสนุนอย่างจริงจัง จึงเกิดการเรียกร้องที่ว่าหากสังคมต้องการครอบครัวที่ดีอย่างที่สังคมคาดหวัง ระบบสนับสนุนควรเกิดขึ้นพร้อมกันทั้งในระดับนโยบาย สื่อ และกฎหมาย รวมถึงครอบครัว ที่ควรเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทุกคน ไม่ว่าจะมีเพศสภาพหรือตัวตนแบบใด ต้องทำให้เกิดความรู้สึกว่าพวกเขาสามารถเติบโตได้อย่างเป็นตัวเอง แต่ละมื้อแต่ละเดย์ไม่ใช่ควรเป็นแค่คำบ่นกับปัญหาที่เกิดขึ้น แต่อยากให้เป็นภาพบวกที่มาเล่าว่าแต่ละวันมีอะไรดี ๆ เกิดขึ้นบ้างจากครอบครัว

#BangkokPrideForum #BangkokPride2025 #LGBTQIANplus

Content by Pitchaya S.

Graphic by frogman

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl