เมื่อวันที่ 24 พฤษภาคมที่ผ่านมา ศาลรัฐบาลกลางของสหรัฐอเมริกา ได้มีคำสั่งระงับชั่วคราว เพื่อ ‘ชะลอ’ การดำเนินการของรัฐบาลที่พยายามเพิกถอนสิทธิ์ของมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดในการรับนักศึกษาต่างชาติ คำสั่งดังกล่าวเกิดขึ้นภายหลังจากที่ฮาร์วาร์ดได้ยื่นฟ้องรัฐบาลสหรัฐฯ โดยให้เหตุผลว่าการประกาศยกเลิกสิทธิ์การขอวีซ่าสำหรับนักศึกษาต่างชาติเป็นการละเมิดสิทธิตามรัฐธรรมนูญ
โดยสองวันก่อนหน้าการฟ้องร้อง รัฐบาลสหรัฐฯ ภายใต้การนำของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ออกประกาศสำคัญ สั่งให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดยุติการรับนักศึกษาต่างชาติ และตัดสิทธิ์ในการเข้าถึงระบบ SEVP (Student and Exchange Visitor Program) ซึ่งเป็นระบบหลักในการจัดการข้อมูลของนักเรียนต่างชาติในสหรัฐฯ และเป็นพื้นฐานสำคัญในการขอวีซ่านักเรียน คำสั่งดังกล่าวส่งผลกระทบต่อนักศึกษาต่างชาติที่กำลังศึกษาอยู่ที่ฮาร์วาร์ดกว่า 6,800 คน ซึ่งอาจต้องเร่งย้ายไปยังมหาวิทยาลัยอื่น หรือเดินทางออกจากสหรัฐฯ ทันที เนื่องจากไม่สามารถถือวีซ่าเพื่อศึกษาต่อได้อีกต่อไป นักศึกษาบางรายอาจถูกบังคับให้ออกจากประเทศแม้ยังเรียนไม่จบ ก็อาจไม่สามารถกลับเข้ามาเรียนต่อได้ รัฐบาลทรัมป์ให้เหตุผลของมาตรการนี้ว่า มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ดมีส่วนสนับสนุนความรุนแรง ส่งเสริมลัทธิต่อต้านชาวยิว และมีความเชื่อมโยงกับพรรคคอมมิวนิสต์จีน คริสสตี โนเอ็ม (Kristi Noem) รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงฯ ได้ออกมาย้ำว่าฮาร์วาร์ดถูกแบนเนื่องจากไม่ยอมส่งข้อมูลนักศึกษาต่างชาติที่อาจเกี่ยวข้องกับการประท้วงหรือเหตุรุนแรง โดยให้เวลา 72 ชั่วโมง ในการส่งข้อมูลทั้งหมด รวมถึงวิดีโอและหลักฐานอื่น ๆ หากต้องการกลับมารับนักศึกษาต่างชาติได้อีกครั้ง
หลังที่ทางฮาวาร์ดได้ออกมายื่นฟ้องรัฐบาล โดนัลด์ ทรัมป์ ได้โพสต์ข้อความผ่าน Truth Social เรียกร้องให้มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด เปิดเผยชื่อและประเทศของนักศึกษาต่างชาติทุกคนทันที และยืนกรานเช่นเดิมว่ารัฐบาลจำเป็นต้องรู้ว่านักศึกษาต่างชาติเหล่านั้นเป็นใคร ฮาร์วาร์ดไม่โปร่งใสเกี่ยวกับตัวตนของนักศึกษาต่างชาติ เและยืนยันว่าเป็นสิทธิของรัฐบาลที่ต้องสามารถสืบข้อมูลที่มาของนักศึกษาทุกคนได้
#ฮาร์วาร์ดในฐานะมหาวิทยาลัยของประชากรโลก
ปัจจุบันนักศึกษาต่างชาติคิดเป็นประมาณ 27% ของนักศึกษาทั้งหมดในมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด โดยเป็นนักศึกษาจากทุกมุมโลก และมีบางคนที่เข้ามาด้วยวีซ่านักศึกษา ในฐานะผู้ลี้ภัยทางการเมืองจากประเทศบ้านเกิด
นักศึกษาต่างชาติหลายคนเผยหลังทราบข่าวว่าการเข้าเรียนที่ฮาร์วาร์ดอาศัยการ ‘ลงทุนทั้งชีวิต’ และยืนยันว่าการแสดงออกของนักศึกษาต่อสถานการณ์บ้านเมืองและการเมืองโลกเป็นสิทธิในการแสดงออก และมหาลัยรวมถึงรัฐบาลไม่ควรมีสิทธิก้าวก่ายหรือจำกัดเสรีภาพนี้ ก่อนหน้านี้นักศึกษามีการประท้วงต่อท่าทีของรัฐบาลสหรัฐและปัญหาอื่น ๆ มาตลอด ทั้งเรื่องสิทธิของชาวปาเลสไตน์ ความรุนแรงในกาซา ปัญหาการปล่อยคาร์บอนของคนอเมริกัน และอื่น ๆ อีกมายมาย ไม่ต่างกับการรวมตัวเรียกร้องของนักศึกษาในมหาวิทยาลัยอื่นทั่วโลก และมองว่าท่าทีของรัฐบาลทรัมป์เป็นความพยายามในการควบคุมฮาร์วาร์ดโดยใช้นักศึกษาเป็นเครื่องมือเท่านั้น นักศึกษาและนักวิชาการมีความวิตกว่าเสรีภาพทางวิชาการและการแสดงออกในมหาวิทยาลัยกำลังถูกคุกคาม และกังวลว่าหากคดีนี้ถูกส่งต่อไปยังศาลสูงสุดของสหรัฐฯ ซึ่งมีแนวโน้มเอนเอียงไปทางอนุรักษนิยมจะเกิดผลกระทบต่อสถานะการลี้ภัยของนักศึกษาหลายคนด้วย
การไต่สวนหลักครั้งต่อไปจะมีขึ้นในวันที่ 29 พฤษภาคม ณ ศาลแขวงในบอสตัน หากศาลตัดสินให้ยกเลิกคำสั่งระงับ อาจส่งผลกระทบต่ออนาคตของนักศึกษาต่างชาติที่วางแผนจะเรียนที่ฮาร์วาร์ด รวมถึงนักศึกษาปัจจุบันที่กำลังศึกษาอยู่
#ทรัมป์ #ฮาร์วาร์ด
Content by Pitchaya S.
Graphic by Chayanit K.
อ้างอิง
bbc: https://bit.ly/43smdfS
npr: https://bit.ly/4mvBQMg
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”