แถลงการณ์จากโรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ระบุว่าประกาศเมื่อวันที่ 30 กรกฎาคมเรื่อง “ขอยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชาและการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา” นั้นเป็น “การสื่อสารคลาดเคลื่อน” และโรงพยาบาลยังให้การรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชาตามปกติ โดยประกาศเดิมของเมื่อวันที่ 30 เป็นมติจากการประชุมของคลินิกพิเศษนอกเวลา และหลังการประกาศดังกล่าวมีคอมเมนต์เพิ่มเติมข้อมูลว่าโรงพยาบาลและคลินิกพิเศษหลายแห่งได้เริ่มงดใช้ล่ามภาษากัมพูชา และมีการจำกัดการรับผู้ป่วยชาวกัมพูชาเข้ารับการรักษาเช่นกัน ในขณะที่เสียงวิจารณ์ตั้งคำถามถึงการละเมิดสิทธิมนุษยชนของผู้ป่วย และจริยธรรมแพทย์ในการเลือกรับผู้ช่วยโดยนำเชื้อชาติมาเป็นปัจจัย
ในประกาศของคลินิกพิเศษนอกเวลา โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์มีรายละเอียด 4 ข้อคือ 1. ยกเลิกการปฏิบัติงานชั่วคราวของผู้ช่วยสื่อสารภาษากัมพูชา และ จิตอาสาภาษาต่างประเทศ 2. ปิดการให้บริการ SMC Premium ชั่วคราว 3. ยกเลิกการรับยาแทน และงดรับเคสใหม่ ผู้ป่วยชาวกัมพูชา และ 4. ผู้ป่วยชาวกัมพูชาที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาลให้จำกัดพื้นที่ชัดเจน การประกาศดังกล่าวทำให้เกิดการตั้งคำถามว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยธรรมของผู้ป่วย และเป็นการผิดจริยธรรมของแพทย์ เนื่องจากการเลือกปฏิบัตินี้ระบุเชื้อชาติของผู้ป่วยชัดเจน ด้านฝ่ายที่เห็นด้วยกับการประกาศนี้ให้เหตุผลว่าเป็นเพียงการยุติบริการที่อำนวยความสะดวกเท่านั้น ไม่ใช่การปฏิเสธการรักษาอย่างเด็ดขาด ในขณะที่อีกฝ่ายท้วงว่าไทยกำลังแสดงท่าทีเหยียดเชื้อชาติ และท่าทีนี้จะนำไปสู่ความขัดแย้งที่รุนแรงขึ้นทั้งในพื้นที่ชายแดน และความรุนแรงต่อแรงงานกัมพูชาในไทยจนกลายเป็นการล่าแม่มด
ต่อมาเมื่อมีแก้แก้ไขว่าเป็นการเข้าใจที่คาดเคลื่อนจึงเพิ่มเติมรายละเอียดว่า ยังให้การรักษาผู้ป่วยชาวกัมพูชาเช่นเดิม เพียงงดให้บริการรับยาแทนเนื่องจากปัญหาการเดินทางข้ามชายแดนที่ที่ให้มียาตกค้างจำนวนมาก และลดการผ่าตัดที่ไม่เร่งด่วน ส่วนการงดใช้ล่ามเป็นเพราะปัจจุบันมีคนกัมพูชาเข้ามารับการรักษาน้อยลงมาก
#ไม่มีพวกเขาพวกเราในสิทธิมนุษยชน – หลังการประกาศ “ยกเลิกการให้บริการผู้ป่วยชาวกัมพูชา” คอมเมนต์เต็มไปด้วยการเห็นด้วยว่าไม่ควรทรัพยากรทางการแพทย์ของไทยไปรักษาคนกัมพูชา ในขณะที่เสียงส่วนน้อยคอมเมนต์ติงว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน
ประกาศฉบับวันที่ 30 กรกฎาคมที่จำกัดการเข้ารับบริการของชาวกัมพูชาเต็มไปด้วยคอมเมนต์เห็นด้วย ที่ให้ความเห็นว่าในช่วงสงครามที่ทรัพยากรมีจำกัดนั้นไม่สมเหตุสมผลที่คนไทยจะต้องไปรักษาคนกัมพูชา และบางส่วนเห็นว่าเป็นการเหมาะสมเนื่องจากก่อนหน้านี้ระเบิดของฝ่ายกัมพูชาได้ทำให้เกิดความเสียหายต่อโรงพยาบาลไทยในเขตชายแดน และเป็นการละเมิดกฎหมายมนุษยธรรมระหว่างประเทศ (International Humanitarian Law: IHL) หรือที่เรียกว่ากฎหมายสงคราม ที่ยึดถือหลักการ 5 ข้อที่มุ่งหมายให้จำกัดความรุนแรงในสงครามและปกป้องบุคคลที่ไม่เกี่ยวข้องกับการสู้รบ
แต่ความเป็นจริงก็คือไม่ว่าจะเป็นเหตุผลด้านทรัพยากร หรือการที่โรงพยาบาลชายแดนไทยได้รับความเสียหายจากการโจมตีของกัมพูชา การปฏิเสธการรักษาด้วยเหตุแห่งเชื้อชาติก็เป็นการเลือกปฏิบัติและละเมิดสิทธิมนุษยชนอยู่ดี ตามหลักสิทธิมนุษยชน ชีวิตทุกชีวิตมีคุณค่าเท่ากันเสมอ และการยินยอมให้สถานที่พยาบาลละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างเปิดเผยก็ส่งผลให้เกิดการลุกลามของความรุนแรงต่อพื้นที่ที่ควรจะปลอดภัยต่อทุกชีวิต นอกจากการคอมเมนต์ที่ให้ค่าชีวิตของคนไทยและคนกัมพูชาต่างกันแล้ว ยังมีการอ้างถึงความรุนแรงที่เกิดขึ้นจริงอย่างการเลิกจ้างงานแรงงานกัมพูชา หรือการตามล่าคนกัมพูชาในไทยที่ไม่ออกตัวสนับสนุนไทย ที่น่ากังวลคือสถานการณ์รุนแรงต่อประชาชนเช่นนี้จะจบลงอย่างไร และจบลงได้หรือไม่
สถานการณ์ชายแดนยังคงต้องจับตามอง ในขณะที่คนในพื้นที่กำลังทยอยเดินทางออกจากศูนย์อพยพและสำรวจความเสียหายที่บ้าน พร้อมเรียกร้องให้รัฐของทั้งไทยและกัมพูชาหาแนวทางรักษาความสงบที่ยั่งยืน
#โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์ #ไทยกัมพูชา #อุบลราชธานี #สันติสู่ชายแดน #ฮุนเซน
Content by Kantams P.
Graphic by Chayanit K.
อ้างอิง
Thaipbs: https://bit.ly/3H9LkNr
โรงพยาบาลสรรพสิทธิประสงค์: https://bit.ly/3HbPpAE
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”