Spectrum

ดนมาร์กขยายกฎหมาย ‘ห้ามปิดหน้า’ ในโรงเรียนและสถานศึกษา ความย้อนแย้งของกฎหมายที่อ้างเสรีภาพแต่ไม่ยอมรับการเลือกของหญิงมุสลิม

3 นาที

10

Share to

กรกฎาคม 4, 2025

3 นาที

10

กรกฎาคม 4, 2025

Share to

รัฐบาลเดนมาร์กประกาศขยายมาตรการห้ามสวม ‘บุรกา’ (Burqa) และ ‘นิกอบ’ (Niqab) เครื่องแต่งกายคลุมศีรษะและใบหน้าของศาสนาอิสลามในสถาบันการศึกษา จากเดิมที่ห้ามในที่สาธารณะมาตั้งแต่ปี ค.ศ. 2018 โดยนายกรัฐมนตรี เมตต์ เฟรเดอริกเซน (Mette Frederiksen) ได้ให้เหตุผลว่าเครื่องแบบการแต่งกายที่ปิดบังใบหน้าเป็นสัญลักษณ์ของการควบคุมทางสังคม และตนเองในฐานะผู้หญิงไม่สามารถทนต่อการกดขี่ของผู้หญิงได้ นอกจากนั้นเธอยังย้ำว่าสถาบันการศึกษาไม่ควรเป็นสถานที่ที่มีการแสดงออกทางศาสนาที่ขัดแย้งกับค่านิยมของเดนมาร์กที่เน้นสิทธิและเสรีภาพของประชาชน

#ประชาชนวิจารณ์ว่านี่คือการกีดกันทางศาสนา – แม้รัฐบาลจะอ้างว่าไม่ได้เน้นที่ศาสนาใดศาสนาหนึ่ง

รัฐบาลให้เหตุผลว่าการห้ามคลุมผ้าปิดหน้านี้ เพื่อการปกป้องสิทธิของผู้หญิงและมองว่าผ้าคลุมหน้าที่เผยให้เห็นเฉพาะดวงตา หรือผ้าคลุมที่คลุมทั้งตัวมีเพียงผ้าตาข่ายปิดตาเป็นเครื่องหมายของ ‘การกดขี่’ ถึงแม้ว่าตัวกฎหมายตั้งแต่ปี 2018 ไม่ได้ระบุศาสนาใดโดยเฉพาะ แต่ด้วยเนื้อหาที่มุ่งเน้นถึงการห้ามปิดบังหน้าในที่สาธารณะ ทำให้ประชาชนตั้งข้อสังเกตว่านี้เป็นการออกนโยบายแบบมุ่งเป้าไปที่ศาสนาอิสลาม ที่ผู้หญิงมุสลิมมีการปกคลุมหน้าตามหลักศาสนา ในแถลงการณ์นายกเมตเต้ เฟรเดอริกเซน ได้ยืนยันว่ารัฐบาลไม่ได้ริดรอนสิทธิในการนับถือศาสนา แต่ต้องการให้ผู้คนในเดนมาร์กทุกคนมีความเท่าเทียม และสามารถใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะได้อย่างเสรี ซึ่งอ้างถึงหลักการของประเทศที่ให้ความสำคัญกับแนวคิดเสรีนิยม การขยายมาตรการแบนการปิดหน้าและคลุมผมจึงมีเป้าหมายเพียงต้องการให้สถาบันการศึกษาเป็นพื้นที่ของ การเรียนรู้ การอภิปราย และเปิดเผย ไม่ใช่ถูกจำกัดด้วยสัญลักษณ์ทางศาสนาที่อาจเกิดอุปสรรคต่อการระบุตัวตน และขัดขวางการมีส่วนร่วมของนักเรียนหรือนักศึกษา

อย่างไรก็ตาม เนื่องจากการบังคับใช้นโยบายนี้ทำให้หญิงที่ปิดหน้าไม่สามารถเข้าสู่พื้นที่สาธารณะและสถานศึกษาได้ การอ้างถึงค่านิยมของเดนมาร์กที่เคารพเสรีภาพจึงถูกตั้งคำถามว่าเป็นเพียงข้ออ้างในการ ‘ผลักไส’ และ ‘ตีตรา’ คนต่างวัฒนธรรมและถือเป็นการละเมิดเสรีภาพในการนับถือศาสนาด้วย และการบังคับใช้กฎหมายที่มุ่งไปที่ผู้หญิงมุสลิมนั้นยิ่งเป็นการกดขี่ ผ่านการกีดกันพวกเธอออกจากพื้นที่สาธารณะและการเข้าถึงการศึกษา

#เพื่อปกป้องหรือริดรอนเสรีภาพ – รัฐแถลงว่านโยบายนี้เพื่อปกป้องเสรีภาพ แต่กลับไม่ปกป้องผู้หญิงที่เลือกปิดหน้าและกำลังต่อสู้ด้วยวิธีการที่แตกต่าง

เดนมาร์กไม่ใช่ประเทศเดียวที่มีมาตรการการปิดบังใบหน้าในพื้นที่สาธารณะ ก่อนหน้านี้ประเทศฝรั่งเศส เบลเยียม และออสเตรีย มีประกาศกฎหมายคล้ายกันนี้เช่นกัน โดยมีเหตุผลเช่นเดียวกันคือเพื่อความเท่าเทียม

แต่เนื่องจากกฎหมายนี้มีลักษณะเจาะจงไปที่ข้อปฏิบัติทางศาสนา ซึ่งทำให้เกิดการเหมารวมและนำไปสู่ความเกลียดกลัวประชากรที่สวมผ้าและนับถือศาสนาอิสลาม ซึ่งไม่ตรงกับหลักการการเคารพสิทธิและเสรีภาพ และถือเป็นการละเมิดสิทธิในการแสดงออกและการนับถือศาสนาอย่างรุนแรง นอกจากนี้ยังมีผู้แสดงความเห็นว่าการให้เหตุผลของนายกรัฐมนตรีย้อนแย้ง เนื่องจากมีการอ้างถึง ‘ความปลอดภัยของสาธารณชน’ เป็นเหตุผลในการให้ผู้หญิงเปิดเผยหน้า และงดการสวมบุรคาและนิกอบ ทั้งที่เดนมาร์กเป็นหนึ่งในประเทศที่หวงแหนความเป็นส่วนตัวของประชาชน และเพิ่งออกนโยบายให้ประชาชนสามารถจดลิขสิทธิ์ใบหน้าของตัวเองได้ เพื่อป้องกันปัญหาการนำหน้าไปใช้ในการ deepfake หรือเทคโนโลยี AI รูปแบบอื่น และมีการแถลงการณ์ว่านโยบายนี้ออกมาเนื่องจาก “ทุกคนมีสิทธิในเนื้อตัวร่างกาย หน้าตา และเสียง ของตัวเอง” ซึ่งแม้ข้อความดังกล่าวจะอยู่ในบริบทของนโยบายปกป้องประชาชนจากการใช้ AI ในทางที่ผิด แต่ก็สะท้อนว่าการอ้างถึงเหตุผลจากนายกรัฐมนตรีไม่ได้เคารพเสรีภาพของผู้หญิงมุสลิมที่เลือกสวมใส่ ‘บุรกา’ และ ‘นิกอบ’ และเป็นการใช้แนวคิดเสรีนิยมในโลกตะวันตกมาใช้ โดยไม่ได้คำนึงถึงความละเอียดอ่อนทางศาสนา และการต่อสู้ที่แตกต่างไปของผู้หญิงมุสลิมเจ้าของประสบการณ์และเนื้อตัวร่างกายที่กำลังเรียกร้องสิทธิของตัวเองผ่านการแสดงออกที่แตกต่าง

#Denmark #Muslim #Islam

Content by Editorial Team

Graphic by Kasit Taranabhaiboon

อ้างอิง

Timesalgebraind: http://bit.ly/44NM8Ao

BST: http://bit.ly/4ntjkot

TOI: http://bit.ly/4lBHoUf

TheGuardian: http://bit.ly/44xVJdC

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl