Spectrum

สังคมไทยขอโทษนายกฯ หญิงคนที่ 1 เพื่อจะมาเกลียดชังนายกฯ หญิงคนที่ 2 รู้จัก Systemic Misogyny การเหยียดเพศอย่างเป็นระบบที่ผู้นำผู้หญิงต้องพบในเวทีการเมือง

3 นาที

5

Share to

มิถุนายน 5, 2025

3 นาที

5

มิถุนายน 5, 2025

Share to

ขาดน้ำตาล

อารมณ์แปรปรวน

หรือว่าเป็นเมนส์

หรือว่าวัยทอง

ตั้งแต่เมื่อวานจนวันนี้พาดหัวข่าวยังเต็มไปด้วยเรื่องของนายกรัฐมนตรีแพทองธาร ชินวัตร ที่ตอบโต้กับนักข่าวในประเด็นความตึงเครียดและความรุนแรงที่เกิดขึ้นบริเวณชายแดนไทย-กัมพูชา หลังวิดีโอการตอบคำถามของนักข่าว และการตั้งคำถามของนายกที่ถามนักข่าวว่า “เขาโกรธอะไรเหรอวันนี้ หน้าเขาดูเหวี่ยงมาก” เกิดเป็นกระแสที่ประชาชน สื่อ และนักการเมืองออกมาวิพากษณ์วิจารณ์ ‘พฤติกรรมไม่เหมาะสม’ ของนายกรัฐมนตรีแพทองธารที่ “ไม่เอาจริงเอาจัง” “ขาดภาวะผู้นำ” “เดียงสาทางการเมือง” นอกจากนี้ยังมีการวิจารณ์ไปถึงสภาวะทางอารมณ์ว่า “อารมณ์แปรปรวน”

“ขาดน้ำตาล” “เมนส์มา” “วัยทองถามหา”

บางส่วนกล่าวว่าการวิจารณ์ลักษณะนี้เหยียดเพศอย่างเห็นได้ และมีรูปแบบของการพยายามลดความน่าเชื่อถือของนายกหญิงอย่างเป็นระบบ จากการมุ่งโจมตีไปที่อารมณ์มากกว่าซับซ้อนของสถานการณ์ ด่วนสรุปแม้นายกรัฐมนตรีจะตอบคำถามว่าอยู่ในระหว่างการปฏิบัติงาน เลือกนำเสนอคำตอบของนายกรัฐมนตรีมากกว่าสนใจคำถามของสื่อมวลชนที่แท้จริงแล้วอาจไม่สร้างประโยชน์อะไร

การเหยียดเพศหญิงในการเมืองไม่ใช่เรื่องใหม่ ไม่ใช่แค่ในประเทศไทย และนายกหญิงแพทองธารไม่ใช่เหยื่อรายแรกในการเมืองไทย จาซินดา อาร์เดิร์น นายกรัฐมนตรีคนที่ 40 ของนิวซีแลนด์ก็เป็นอีกคนที่เจอการเหยียดเพศอย่างเป็นระบบ และมีข้อมูลยืนยันจากการวิเคราะห์การรายงานข่าวของสำนักข่าวก่อน ระหว่าง และหลัง การทำงานของจาซินดา อาร์เดิร์น จาซินดาถูกจับตามองด้วยท่าทางที่ ‘เป็นหญิง’ แต่ยังเป็น ‘ผู้นำ’ เธอถูกวิพากษ์ตั้งแต่ก่อนรับตำแหน่งว่ามีท่าทีอ่อนน้อมเกินไปกับผู้อพยพ รับมือกับปัญหาแบบผู้หญิง และต่อมาเมื่อประกาศว่าตั้งครรภ์และจะลาคลอด 6 สัปดาห์ระหว่างดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี กระแสวิจารณ์กลับมาอีกครั้งด้วยท่าทีเดิมว่า “เพราะแบบนี้ไงล่ะผู้หญิงถึงไม่ควรเป็นนายก” และในที่สุดเมื่อเธอลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี เสียงวิพากษ์นี้ดังขึ้นอีกว่า “เพราะนายกเป็นงานที่หนักหนาเกินไปสำหรับผู้หญิง”

แม้จะไม่มีการศึกษาเรื่องการเหยียดเพศในการนำเสนอข่าวต่อนายกรัฐมนตรีหญิงในไทย แต่แพทองธารตกเป็นที่วิจารณ์เสมอจากเรื่องที่คงไม่เป็นไรถ้าเกิดกับประยุทธ์ จันทร์โอชา (ที่เป็นผู้นำรัฐประหารที่ด่านักข่าวและมีท่าทีก้าวร้าวเสมอ) ประวิตร วงษ์สุวรรณ (ที่ตบนักข่าวอย่างน้อย ๆ 2 ครั้งและสื่อก็ยังขำ) ผู้ติดตามข่าวหลายคนชี้ว่าแพทองธารไม่ใช่นายกรัฐมนตรีตัวจริงเพียงเพราะทักษิณ ชินวัตร ปรากฏตัวในที่สาธารณะและให้ความคิดเห็นในฐานะอดีตนายกรัฐมนตรี เสื้อผ้าหน้าผม การปรากฏตัวในที่สาธารณะ แม้กระทั่งใช้ช่วงพักหลบกล้องเพื่อทาลิปสติกในสภา แพทองธารก็ยังถูกจับจ้องและจงใจถ่ายภาพเพื่อนำสร้างข่าว มีคนเสนอตัวว่าจะเป็นผู้ดูแลภาพลักษณ์ รูปร่าง และการแต่งตัวให้นายกรัฐมนตรีโดยมีนัยถึงการดูถูกภาพลักษณ์  แม้จะให้สัมภาษณ์ในเชิงล้อเล่นว่ารักคนใต้โดยมีนัยถึงสามีของตัวเอง ก็ยังถูกสื่อเลือกมาเป็นประโยคล้อเลียน เมื่อแพทองธารเลือกท่าทีที่สุภาพเธอจะกลายเป็นคนอ่อนแอไร้อำนาจ เมื่อเธอลุกขึ้นแสดงจุดยืนจะกลายเป็นคนไม่เก่งที่ก้าวร้าว ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่อดีตนายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเคยเจอมาก่อนแล้ว และมันใช้เวลาราว 10 ปีกว่าคนไทยจะออกมาขอโทษ แต่การเรียนรู้และเปลี่ยนแปลงกลับไม่เคยเกิดขึ้น

ความเป็นระบบของการวิจารณ์นักการเมืองและความเป็นหญิงมีการปรับเปลี่ยนตามยุคสมัย ในช่วงยุคที่นักการเมืองหญิงมีจำนวนเพิ่มขึ้นทั่วโลกอย่างปัจจุบันที่ผู้หญิงมีที่นั่งในสภากว่า 27% ทั่วโลก จากที่เคยมีเพียง 11% ในช่วงปี 2539 การวิจารณ์นักการเมืองหญิงไม่ได้เหยียดเพศชัดเจนตรงไปตรงมาจากปากนักการเมืองชาย แต่เป็นการชี้ให้เห็นพฤติกรรมผู้หญิ๊งผู้หญิงของนักการเมือง เช่น การแต่งตัว ทาปาก ห่วงสวย กลัวเปื้อน ขี้วีน และอีกมามายที่พากหัวข่าวและเห็นได้ตามคอมเมนต์เมื่อใดก็ตามที่นักการเมืองหญิงปรากฎตัวให้เห็น และสิ่งที่เปลี่ยนไปอย่างเห็นได้ชัดคือการวิจารณ์นักการเมืองหญิงมาจากฝ่ายที่ ‘เหมาะสม’ ที่จะวิพากษ์ได้ เช่น เป็นผู้หญิงเหมือนกัน เป็นแม่คนเหมือนกัน เป็นลูกสาวของนักการเมือง เป็นนักธุรกิจ ฯลฯ ระบบการเหยียดเพศนี้ปรากฎชัดในกรณีของจาซินดา อาร์เดิร์น ซานนา มาริน นายกรัฐมนตรีฟินแลนด์ ไช่ อิงเหวิน จากไต้หวัน และนักการเมืองที่แสดงออกถึงลักษณะของความเป็นหญิงดังที่สังคมขีดกรอบไว้

แม้ตัวเลขจะชี้ว่าสถาบันการเมืองเปิดพื้นที่ให้ผู้หญิงมากขึ้น มีนักการเมืองที่เป็นผู้หญิงและคนเพศหลากหลายมากขึ้น สิ่งที่ยังต้องจับตามองกันต่อไปคือความละเอียดอ่อนการความเข้าใจปัญหาการกีดกันและเลือกปฏิบัติทางเพศอย่างเป็นระบบที่ฝังรากลึกในสังคม

และในยามที่บ้านเมืองตึงเครียดเช่นนี้ เราคงต้องขอบคุณรัฐบาลและนายกรัฐมนตรีที่เลือก ‘สันติวิธี’ ไม่ใช่เดินหน้าสู่สงครามอย่างโง่เขลา

Content by Editorial Team

Graphic by Chayanit K.

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl