Spectrum

คนจน เครียด กินเหล้า ชนชั้นกลาง เศร้า ไปหาหมอบทบาทเชิงรุกทางการดูแลสุขภาพใจที่อยากให้รัฐไทยช่วยทำในเดือน Mind Month

3 นาที

6

Share to

พฤษภาคม 23, 2025

3 นาที

6

พฤษภาคม 23, 2025

Share to

“อยากระบายปัญหาใจ อาจต้องใช้ 1 พันบาท”

ในวันที่ค่าแรงขั้นต่ำในไทยวันละ 300 กว่าบาท การจะพบนักจิตวิทยาหรือนักบำบัดต้องใช้เงินหลักพัน และหากถามถึงสวัสดิการด้านสุขภาพใจจากภาครัฐก็อาจต้องรอคิวพบแพทย์หรือนักจิตฯ นานนับเดือน และถึงแม้บริการออนไลน์จะเริ่มมีมากขึ้นในราคาที่หลากหลาย แต่ในความเป็นจริง การรักษาทางใจที่มีคุณภาพยังคงเป็นสิ่งที่ ‘เข้าถึงได้เฉพาะบางคน’  ไม่ใช่ ‘ทุกคนเข้าถึงได้’

กรมสุขภาพจิตเผยสถิติว่าระหว่างเดือนวันที่ 1 ม.ค. 2563 – 20 ก.พ. 2568 พบคนไทยที่มีความเสี่ยงซึมเศร้า 562,289 คน เสี่ยงฆ่าตัวตาย 318,917 คน และความเครียดสูง 484,313 คนจากจากจำนวน 6,154,474 คน โดยกลุ่มอายุ 20-29 ปี หรือช่วงวัยทำงานมีความเสี่ยงสูงสุด สอดคล้องกับปัญหา ‘อาการหมดไฟ’ ที่เป็นปัญหาค้างคาซึ่งบ่งบอกถึงความเหนื่อยล้าของคนในยุคนี้ได้อย่างดี

เมื่อต้นเดือนนี้ก็เพิ่งมีข่าวว่า พนักงานสอบสวนในโรงพักของจังหวัดนนทบุรี มีอัตราป่วยซึมเศร้ารุนแรง และประสบปัญหาเครียดสะสม ซึมเศร้า นอนไม่หลับหลายราย ซึ่งถึงจะยังมีอายุไม่มากแต่ภาวะเครียดก็ไม่อาจเข้าใครออกใคร ภายใต้หน้ากากความเข้มแข็งของความเป็นชายที่สังคมมอบให้ กลับพบว่าผู้ชายที่เป็นผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ก็เจอภาวะความเปราะบางทางใจไม่ต่างกัน ยังชวนให้ตั้งคำถามต่อว่า อาจไม่ใช่เพียงแค่ตำรวจจากสน.ในข่าวที่มีปัญหาซึมเศร้า มีตำรวจอีกกี่คน หรือสน.อีกกี่แห่งที่ประสบปัญหาเครียดและซึมเศร้าจากการทำงานเป็นด่านหน้ากับปัญหาต่าง ๆ ในสังคม และเพราะเหตุใดอาการป่วยทางใจของคนทำงานถึงไม่เคยเป็นประเด็นยิ่งใหญ่เท่านี้มาก่อน หรือเป็นเพราะว่าพวกเขาเหล่านั้นเป็นผู้ชายที่พ่วงมาด้วยการเป็นตำรวจที่เข้มแข็ง เลยทำให้สังคมมองว่าสำหรับผู้ชายแล้ว การดูแลรักษาหัวใจไม่ใช่เรื่องจำเป็น

ความน่าเป็นห่วงคือ เมื่อผู้มีอำนาจใช้กฎหมายมีภาวะเครียดและซึมเศร้าจะส่งผลกระทบต่อภาวะการตัดสินใจ และการเข้าอกเข้าใจประชาชนใต้กฎหมายอย่างไรหรือไม่

คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเห็นชอบกำหนดให้เดือนพฤษภาคมของทุกปีให้เป็น ‘เดือนแห่งสุขภาพใจ’ (Mind Month) โดยมอบหมายให้กระทรวงสาธารณสุข ผ่านกรมสุขภาพจิตให้เป็นหน่วยงานหลักในการดำเนินการจัดกิจกรรมในการรณรงค์

ในยุคสมัยที่เราทำงาน ทำงาน ทำงาน เป็นเรื่องดีที่คณะรัฐมนตรียกเรื่องนี้มาเป็นวาระสำคัญ แต่หากว่ากันตามตรงแล้วประเด็นสุขภาพจิตในประเทศไทยมีมาเป็นสิบ ๆ ปีและผ่านการถ่ายทอดมาหลายมุมมองและรูปแบบตามยุคสมัย หากใครพอจะคุ้นเคยกับโฆษณา ‘จน เครียด กินเหล้า’ ก็คงพอเข้าใจว่าคนทุกสถานะย่อมเกิดความไม่สบายทางใจได้เช่นเดียวกัน และการพูดเรื่องสุขภาพจิตอย่างตรงไปตรงมานั้นไม่ใช่เพียงแค่ทำคอนเทนต์สวย ๆ หรือสร้างกิจกรรม Wellness & Mindful สร้าง aesthetic ที่ฉาบฉวยจับต้องไม่ได้ หากแต่การทำงาน ‘เชิงรุก’ และพูดถึงเรื่องนี้กันอย่าง ‘ตรงไปตรงมา’ อาจเป็นสิ่งสำคัญในก้าวแรกแห่งการเปลี่ยนแปลง

และโจทย์ที่ท้าทายคือ “จะทำอย่างไรให้สุขภาพใจเป็นเรื่องของทุกคนจริง ๆ”

และ ‘ทุกคน’ ในที่นี้คือคนไทยทุกกลุ่ม ทุกเพศ ทุกสถานะทางสังคม

เพราะการเข้าถึงนักจิตวิทยามีราคาสูง จึงไม่แปลกเลยที่เราจะเห็นวังวนของ ‘จน เครียด กินเหล้า’ เนื่องจากเหล้ากลายเป็นหนทางออกใกล้ตัวที่เข้าถึงได้ ด้วยราคาที่ไม่แพง และผลลัพธ์การแก้ปัญหาที่ฉับไว แม้จะขัดจากเสียงเหล่า ‘ผู้เชี่ยวชาญ’ ที่ย้ำว่านี่ไม่ใช่การแก้ปัญหาระยะยาว วังวนที่สัมคมมองว่าเป็น ‘ปัญหาคนจน’ นี้สะท้อนว่าเพราะคนจนไม่มีสิทธิ์เข้าถึงการให้บริการทางสุขภาพจิตหรือเปล่า? และมันไม่ใช่ว่าเพราะไม่ตระหนัก แต่เป็นเพราะกำแพงสวัสดิการที่ไม่อาจก้าวข้ามไปให้ถึงด้วยสถานะและปัจจัยทางเศรษฐกิจ

ใคร ๆ ก็รู้ดีว่า หาหมอแพงกว่ากินเหล้า

อีกปัญหาที่พบเกี่ยวกับการทำความเข้าใจเรื่องสุขภาพจิตใจ คือ หลายคนมักคิดว่าการไปพบนักจิตวิทยา จิตแพทย์ หรือนักบำบัด คือคนที่ ‘ไม่ปกติ’ หลายครั้งอาจถูกมองว่าเป็น ‘คนบ้า’ และถูกทำให้แปลกแยกไปจากความเป็นปกติของสังคม แต่ที่จริงแล้วภายใต้คำว่า ‘ปกติ’ เหล่านั้นบดบังทั้งจำนวนผู้มีภาวะเครียด ซึมเศร้า หรือผู้มีความการต้องการสนับสนุนทางใจอีกมากมาย 

ถึงปัจจุบันการเข้าถึงการบำบัดและรักษาทางสุขภาพจิตจะมีมากขึ้น แต่แลกมาด้วยราคาสูง รอคิวนาน และเข้าถึงยากกว่าที่ควรจะเป็น อีกทั้งทางฝั่งนักจิตวิทยาเองก็ยังคงมีปัญหาขาดแคลนผู้ชำนาญในวิชาชีพ จนทำให้นักจิตวิทยาหนึ่งคนต้องรับเคสเป็นจำนวนมาก แถมยังได้รับค่าตอบแทนต่ำ

ดังนั้นการทำงาน ‘เชิงรุก’ ที่ว่า จึงต้องทำทั้งในแง่การป้องกันและการรักษา โดยอาจมีแนวทางดังนี้

1. จัดสรรแพทย์และนักจิตวิทยาให้ครอบคลุมกับสภาวการณ์ในประเทศไทย เมื่อปีที่แล้ว (2567) กรมสุขภาพจิตเคยเปิดเผยว่าบุคลากรทางการแพทย์ นักจิตวิทยาคลินิก และนักจิตวิทยาทั่วไปไม่เพียงพอต่อความต้องการ โดยปัจจุบันมีจิตแพทย์ราว 632 คน จิตแพทย์เด็กและวัยรุ่นราว 190 คน ซึ่งคิดเป็นอัตราเฉลี่ยต่อแพทย์ 1.25 คนต่อ 1 แสนประชากร ซึ่งถือว่าอยู่ในภาวะ ‘ขาดแคลน’ และนอกเหนือไปจากนั้นก็ยังมีจิตแพทย์ที่มีอคติกับผู้ป่วยจิตเวช ในบางครั้งผู้ป่วยเองก็รู้สึกว่านักจิตวิทยารับฟังแบบตัดสิน ดังนั้นจะเห็นได้ขั้นตอนกว่าจะได้พบจิตแพทย์นั้นมีความยากลำบากทั้งขึ้นทั้งล่อง จึงควรมีจำนวนแพทย์และผู้เชี่ยวชาญ รวมถึงมีจรรยาบรรณการปฏิบัติอย่างเป็นบรรทัดฐานให้เป็นมาตรฐานเดียวกันมากขึ้น

2. สร้างช่องทางในการเข้าถึงและรักษาให้ง่ายขึ้น รวมถึงรณรงค์ให้คนตระหนักรู้ถึงปัญหาสุขภาพจิตในวงกว้าง เช่น จัดสรรการรักษาโดยรัฐให้ครอบคลุมอยู่ในประกันสุขภาพขั้นพื้นฐาน ทั้งในโรงพยาบาลรัฐที่ดูแลเรื่องนี้อยู่แล้ว (เช่น โรงพยาบาลมนารมย์, โรงพยาบาลศรีธัญญา หรือโรงพยาบาลสมเด็จเจ้าพระยา) เพิ่มช่องทางในโรงพยาบาลรัฐทั่วไป หรือสร้างคลินิกรักษาประจำตำบลเพื่อให้มีบุคลากรกระจายตัวครอบคลุมพื้นที่นอกกรุงเทพฯ เพื่อลดความเหลื่อมล้ำในการเข้าถึงบริการโดยมีสิทธิการรักษาที่ครอบคลุม

3. สนับสนุนพื้นที่ปลอดภัยที่ใช้งานได้จริงโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายทั้งออนไลน์และออฟไลน์ เช่น สร้าง Community Health Center เพิ่มเติม หรือสนับสนุนองค์กรที่รวมผู้เชี่ยวชาญทางด้านนี้อย่าง OOCA หรือ The NOOK โดยที่อาจไม่ต้องให้ประชาชนจ่ายราคาเต็มทั้งหมด และมีรัฐสนับสนุนงบประมาณบางส่วน

4. ปรับมุมมองในวัฒนธรรมการทำงาน เข้าใจถึงความเครียด อาการซึมเศร้า และโรคทางใจอื่น ๆ โดยเพิ่มสวัสดิการให้พนักงานได้ดูแลและสำรวจจิตใจของตัวเองให้มากขึ้น และมองว่าโรคทางใจก็ถือเป็นอาการเจ็บปวดได้ไม่แพ้ทางกาย เช่น ส่งเสริมวันลาเพื่อสุขภาพจิต (mental health leave)

ในท้ายที่สุดแล้ว การประกาศให้เดือนพฤษภาคมเป็น ‘เดือนแห่งสุขภาพใจ’ อาจเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการยอมรับอย่างเป็นทางการจากภาครัฐว่า สุขภาพใจคือเรื่องสำคัญที่ไม่อาจมองข้ามได้อีกต่อไป แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้น คือการผลักดันให้สุขภาพจิตกลายเป็น ‘ความสำคัญร่วม’ ของทุกภาคส่วน ไม่ใช่แค่รัฐ ไม่ใช่แค่แพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ แต่รวมถึงสถานศึกษา สถานที่ทำงาน ครอบครัว ชุมชน ไปจนถึงตัวเราเอง

และ ‘สุขภาพใจ’ ก็ไม่ใช่เรื่องของคนที่มีเงินจ่ายค่าบำบัด ไม่ใช่แค่คนชนชั้นกลางขึ้นไปที่ได้รับสวัสดิการจากบริษัทใหญ่ หรือคนมีฐานะที่พอจะมีเวลาหยุดพักจากการทำงานไปใช้ชีวิต แต่จะกลายเป็นสิ่งที่เราร่วมดูแลไปด้วยกัน ในสังคมที่ตระหนักถึงภาวะการเจ็บป่วยของสุขภาพใจ กล้าพูดได้ว่ากำลังไม่โอเค โดยที่ไม่ต้องกังวลว่าใครจะตัดสินอย่างไร หรือกังวลว่าจะสามารถซัปพอร์ตตัวเองทางจิตใจได้มากแค่ไหน

#MindMonth #MentalHealth #เดือนแห่งสุขภาพจิต #สุขภาพจิต #โรคซึมเศร้า

Graphic by Kasidit Taranabhaiboon

อ้างอิง

Hfocus: https://bit.ly/4drSBnq, https://bit.ly/4drSCaY

Matichon: https://bit.ly/3Frv75e

The Government Public Relations Department (PRD): https://bit.ly/3H3F9KB

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl