“บทอาตองจะเรียกว่าเป็นตัวละครสมทบก็ได้ เป็นสมทบ แต่สำคัญ ผมสนใจคำว่าสำคัญมากกว่า”
บอย ปกรณ์ ฉัตรบริรักษ์ เป็นนักแสดงที่เราเห็นหน้าในจอโทรทัศน์มาเกือบ 20 ปี ที่ผ่านมาเขาคว้าบทพระเอกมาแทบทุกเรื่อง แต่ในภาพยนตร์เรื่องนี้ ที่บอยบอกว่าเขารอคอยมานานที่จะได้ร่วมงานกับ GDH เขารับบทเป็น ‘อาตอง’ นายตำรวจจากเพชรบูรณ์ที่มีบทบาทเทียบเท่าตัวละครสมทบ สิ่งนี้เป็นสิ่งแรกที่ทำให้เราต้องถามว่าบทอาตองสำคัญยังไงกับตัวเขา และกับหนังเรื่องนี้
“จากตัวอย่างหนัง อาตองก็จะเป็นผู้ชายใจดีคนนึง เป็นตำรวจบ้านนอกที่ย้ายเข้ามาอยู่ในกรุงเทพ ฯ เป็นสมาชิกใหม่ของแฟลตตำรวจที่นี่ ความจริงแล้วเขาหนีอะไรบางอย่างมา เขามีปม ปูมหลังของเขาที่ทำให้เขาต้องย้ายมาอยู่ที่นี่ แล้วพอเขามาอยู่ที่นี่ เขากลับมาเจอบางสิ่งบางอย่างที่เหมือนเขาตามหาอยู่ ซึ่งมันก็คือการที่เขาได้มารู้จักกับเด็ก ๆ ที่คอร์ทแบด เจอพี่แอน น้องเจน หนูไนซ์ เจอแก๊งเด็ก ๆ”
“เขาเป็นคนใจดี เป็น Introvert คนหนึ่งด้วย เขารู้สึกว่าสังคมตำรวจที่เขาอยู่มันไม่ได้น่าภิรมย์เท่าไหร่ การที่ได้อยู่กับเด็ก ๆ เขามีความสุข ได้ช่วยเหลือ พาเด็กไปนู่นไปนี่ เป็นคุณอาใจดีของเด็ก ๆ แต่สิ่งที่ทำให้เขาสามารถอยู่กับเด็ก ๆ กลุ่มนี้ได้ มันก็ส่งผลมาจากปูมหลังของเขา นี่คือพื้นที่ Safe Zone ของเขา แต่สุดท้ายในความสัมพันธ์ระหว่างเด็กผู้หญิงทั้ง 2 คน พอมีผม ซึ่งก็เป็นอีกตัวแปรหนึ่งเข้าไป ความรู้สึกของเขามันเกิดการสั่นคลอน โดยที่ตัวละครของผมก่อให้เกิดปัญหา ใช้คำว่าโดยไม่ได้ตั้งใจแล้วกัน”
ประสบการณ์ 17-18 ปีในวงการบันเทิงเปลี่ยนบอย ปกรณ์จากนักแสดงดาวรุ่งให้เป็นนักแสดงรุ่นพี่ เราคุยกันนิดหน่อยว่าสิ่งนี้ทำให้การทำงานง่ายขึ้นหรือไม่ บอยตอบว่าใช้ชีวิตง่ายขึ้น แต่กับการทำงานในฐานะนักแสดงไม่เลย เขายังต้องดูแลร่างกายเพื่อให้พร้อมรับงาน ยังต้องเวิร์กช็อปการแสดงอยู่เสมอ แม้กระทั่งในเรื่อง Flat Girls ก็เป็นการทำงานหนัก บอยยอมรับว่าก็เป็นเพราะความคาดหวังด้วย แต่ส่วนหนึ่งก็เพราะบทอาตองมันลึกลับซับซ้อนและมีมิติมากขึ้นสำหรับเขา
“มันเป็นช่วงที่มีการเปลี่ยนถ่ายสำหรับละครที่กำลังโยกย้ายมาเป็นฝั่งของซีรีส์ ที่มีความสั้นขึ้น กระชับขึ้น สมัยใหม่มากขึ้น มีความเป็นมนุษย์มากขึ้น มีความสมจริง (Realistic) มากขึ้นครับ ผมเชื่อว่ากลุ่มคนที่ยังชอบละครแบบที่เคยมีมาก็ยังมีอยู่ ถ้าสำหรับผม มันเป็นช่วงที่ผมมีผลงานเยอะจริง เป็นช่วงที่ผมได้เริ่มต้นมาเป็นฟรีแลนซ์ ก็เลยมีโอกาสที่จะได้ทำอะไรที่ใหม่ๆ มากขึ้น แตกต่าง เปลี่ยน ได้ลองอะไรใหม่ ๆ ที่เราก็อยากลองมานาน คนดูก็ได้เห็นเราในมุมใหม่ ๆ แล้วก็เป็นการเติมไฟให้กับเราด้วยในการทำงาน แน่นอน พอเราได้มาทำงานอะไรที่เราไม่เคยทำ ที่มันได้บทใหม่ ๆ ได้บทที่หลุดกรอบจากที่เคยเล่น มันก็เป็นการเติมไฟให้กับเรา ได้กลับมาสนุกกับการทำงานอีกครั้งนึง”
“กับบทอาตองมันก็ยาก ผมเวิร์กช็อปค่อนข้างเยอะ ผมแบกความคาดหวังให้ตัวเองจากการที่ ‘เฮ้ย นี่คือหนัง GDH ที่ผมเฝ้าฝันอยากเล่นมาตลอด’ ปกติก็ทำการบ้านอยู่แล้วแหละ แต่อันนี้คือทำหนักกว่าปกติ ผมอยากจะหาภาพอาตองในหัวของพี่แคลร์ (จิรัศยา วงษ์สุทิน) ให้มันใกล้เคียงที่สุด ซึ่งสิ่งที่มันยากจริง ๆ มันก็คือ ผมมักจะเผยบุคลิกของอาตองออกมาตอนที่ผมไม่ค่อยรู้ตัว ถ้าคุยกับใครเป็นคนชอบยิ้มแบบคนไม่รู้ตัว อาตองมันเป็นคนแบบนั้น”
ในวันนี้บท ‘อาตอง’ กลายเป็นที่พูดถึงกับความคลุมเครือและอึดอัดที่คนดูรู้สึกได้ สิ่งนี้เป็นเสน่ห์และความลึกลับอย่างหนึ่งในหนังที่เราพูดถึง แต่สำหรับนักแสดงมองมันอย่างไร เราถามบอย ปกรณ์ผู้ที่คลุกคลีและถ่ายทอดบทบาทนี้ออกมาได้สมจริงและนับเป็นอีกบทที่พิสูจน์ฝีมือการแสดงของเขา จนหลายคนบอกว่านี่คือการแสดงที่ดีที่สุดที่บอย ปกรณ์ เคยเล่นมา
“เป็นที่พึ่งครับ คำนี้คำเดียวสามารถบอกถึงสิ่งที่อาตองทำและสิ่งที่อยู่ในใจอาตองได้ครับ”
บอย ปกรณ์ใช้เวลาคิดนิดหนึ่งก่อนตอบคำถาม แต่คำตอบก็อธิบายได้ดีว่าสำหรับตัวละครแล้ว เขามีมุมมองต่อการกระทำนั้นอย่างไร
“หลายคนจะได้มาดูประเด็นความสัมพันธ์ความรู้สึกของหญิงสาว 2 คน ที่กำลังค้นหาตัวเอง มีผู้ชายคนนึงเข้ามา เกิดปัญหาอะไรบางอย่างเกิดขึ้น ได้เห็นการใช้ชีวิตของคนที่อาศัยอยู่ในแฟลตตำรวจ ผมว่าหลายๆ คนขับรถในกรุงเทพเคยเห็นกันทุกคนว่าแฟลตตำรวจหน้าตาเป็นไง แต่ว่าอาจจะไม่เคยรู้ว่าตำรวจใช้ชีวิตกันอย่างนี้เหรอวะ มันมีเงื่อนไขอย่างไรในการที่จะอยู่จะไป มีการแบ่งชนชั้นระหว่างกันในนั้นตามฐานะ เรื่องหนึ่งที่ผมมองว่าเป็นมิติของหนังเรื่องนี้ คือเราจะเห็นความต่างระหว่างวัย สิ่งที่คน Gen X พูดกันเป็นเรื่องปกติ แต่คน Gen Z บอก ‘แม่งชายแท้’ ผมรู้ว่าชายแท้คืออะไรนะ แต่อาตองไม่รู้ (ยิ้ม) ผมว่าพี่แคลร์เขาก็กล้านะที่จะหยิบประเด็นนี้เข้ามา เพราะว่าตอนอ่านบทครั้งแรก ผมเห็นแล้วยังคิดว่า จะโอเคใช่ไหมเนี่ย สุดท้ายแล้วผมก็รู้สึกว่าบทมันก็ดำเนินพาต่อไป หนังเรื่องนี้มันมีหลายมิติจริงๆ ให้คนได้เสพ”
“เราไม่ใช่หนังที่มาตีแผ่สังคม แต่เป็นหนังที่เล่าผ่านมุมมองของผู้กำกับที่เติบโตในแฟลตนี้มา 30 ปี เขาก็เห็นทุกอย่างมาหมด เพราะฉะนั้นแล้ว ผมเชื่อว่าสิ่งที่พี่แคลร์เล่าก็ถ่ายทอดจากประสบการณ์ที่มันเคยเกิดขึ้นทั้งหมดในแฟลตนี้ มันอาจจะถูกหรือไม่ถูกบ้าง เป็นเรื่องที่ให้ทุกคนดู แล้วเข้าไปตัดสิน แต่ผมเชื่อว่าอีกมุมหนึ่ง ผู้กำกับก็อยากจะสะท้อนให้เห็นถึงปัญหาที่มันเกิดขึ้น แล้วผมคิดว่าในมุมของเขา นอกจากความบันเทิง หรือว่าความอิ่ม เขาอาจจะอยากจะตอบแทนสังคม หรือช่วยสังคม มุมนี้มันก็มองได้”
บอย ปกรณ์อธิบายถึง Flat Girls จากมุมมองของเขาอย่างไม่ตัดสิน และเราก็เชื่อเช่นที่บอย ปกรณ์บอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้ทำหน้าที่ของมันเสร็จสิ้นแล้ว จะถูกมองอย่างไรก็สุดแล้วแต่คนดู
#FlatGirls #ชั้นห่างระหว่างเรา #ThaiGL #QueerMovie #Human
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”