หลังลั่นวาจาว่าจะ ‘ลด ละ เลิก’ ความหลากหลายและปฏิวัติสามัญสำนึกให้กับประชาชนคนอเมริกัน ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ในพิธีสาบานตนเมื่อวันจันทร์ (20 ม.ค.) ที่ผ่านมา ในคืนวันเดียวกันนั้นเอง โดนัลด์์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีคนที่ 47 ของสหรัฐอเมริกาได้ลงนามออกคำสั่งบริหาร (executive order) ร่วม 200 ฉบับ โดยมุ่งเน้นไปยังการคำนึงถึงคุณธรรม, อเมริกันมาก่อน, และลดทอนคุณค่าพหุวัฒนธรรม รวมถึงการอภัยโทษให้กับบุคคลกว่า 1,500 คนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดจากความพยายามก่อจลาจล ณ อาคารรัฐสภาสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 6 มกราคม ค.ศ. 2021 ข้อมูลจาก pinknews เปิดเผยว่า ใน 1,500 คนนั้น มีจำนวนผู้ใช้ความรุนแรงทางเพศต่อ LGBTQ+ อยู่ราว ๆ 225 คน
เนื่องในวาระโอกาสแห่งความวินาศสันตะโรเช่นนี้ เราได้ทำการรวบรวมคำมั่นสัญญาและบรรดาผลงานเด่น ที่ตั้งตนเป็นปรปักษ์ต่ออัตลักษณ์ทางเพศ เชื้อชาติ และวัฒนธรรม ใน 24 ชั่วโมงหลังการเข้าดำรงตำแหน่งประธานาธิบดีสมัยที่ 2 ของ โดนัลด์์ ทรัมป์ ที่พร้อมจะสั่นคลอนผู้คนจากทุกความหลากหลายในสหรัฐฯ อย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
(1) ต่อไปนี้เพศสภาพจะมีเพียง ชาย-หญิง เท่านั้น
ระหว่างการกล่าวสุนทรพจน์ ทรัมป์เผยว่าที่ผ่านมารัฐบาลสหรัฐฯ คอยแต่จะสอดแทรกเชื้อชาติและเพศสภาพเข้าไปในทุกซอกทุกมุมของสังคม เขาจึงขอยุติการกระทำทั้งหมดนี้ลง เพื่อเดินหน้าสร้างสังคมอเมริกาเป็นสังคมไร้สีบนพื้นฐานของคุณความดีเป็นหลัก “ดังนั้นนับตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ในตัวบทกฎหมายของรัฐบาลกลางจะรับรองเพศสภาพเพียง ชาย หรือ หญิง เท่านั้น” ทรัมป์กล่าว
แน่นอนว่าทรัมป์ ‘พูดจริง ทำจริง’ เพราะในเอกสารคำสั่งบริหารมีหลายบทบัญญัติที่สอดคล้องกับคำป่าวประกาศดังกล่าว อาทิ การเปลี่ยนคำนิยามของเพศสภาพใหม่ในระดับรัฐบาลกลาง, การลบการยอมรับบุคคลข้ามเพศในเอกสารราชการ, การยุติการออกหนังสือเดินทางของสหรัฐฯ ที่ระบุเพศสภาพเป็น X, การสั่งห้ามมิให้นักโทษหญิงข้ามเพศถูกคุมขังในเรือนจำหญิง, การปฏิเสธการให้บริการทางการแพทย์เพื่อยืนยันเพศสภาพแก่ผู้ต้องขังข้ามเพศ หรือแม้กระทั่งการสนับสนุนความเกลียดชังคนข้ามเพศในที่ทำงาน และสกัดกั้นการใช้เงินทุนของรัฐบาลกลางเพื่อส่งเสริมแนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศ อย่างไรก็ตาม ยังไม่ชัดเจนว่ารัฐบาลทรัมป์ตั้งใจจะผลักดันนโยบายเหล่านี้ไปไกลแค่ไหน เนื่องจากรายละเอียดหลายส่วนยังไม่ได้ระบุชัดเจน
‘ปกป้องผู้หญิงจากอุดมการณ์หัวรุนแรงด้านอัตลักษณ์ทางเพศ และฟื้นฟูความจริงทางชีววิทยาให้แก่รัฐบาลกลาง’ คือชื่ออย่างเป็นทางการของหนึ่งในคำสั่งบริหารที่ปรากฏบนหน้าเว็บไซต์ของทำเนียบขาว ด้วยความยาวกว่า 12,667 ตัวอักษร 8 วรรคตอน สรุปสั้น ๆ ได้ 8 ประเด็นที่เกี่ยวข้องกับชุมชนคนเพศหลากหลาย
1. แนวคิดเกี่ยวกับอัตลักษณ์ทางเพศเป็นภัยอันตราย โดยอ้างว่าทำลาย ‘ความจริงทางชีววิทยา’ และคุกคามศักดิ์ศรีและความปลอดภัยของผู้หญิง นอกจากนี้ยังวิจารณ์นโยบายที่ยอมรับอัตลักษณ์ทางเพศ และวางแนวทางในการลบการยอมรับดังกล่าวออกจากนโยบายของรัฐบาลกลาง
2. เพศมีแค่ ชาย-หญิง และเปลี่ยนแปลงไม่ได้เป็นอันขาด ปฏิเสธอุดมการณ์ทางเพศและอัตลักษณ์ทางเพศ พร้อมทั้งให้นิยามใหม่แก่กลุ่มคำอย่าง เพศชาย-เพศหญิง, ผู้ชาย-ผู้หญิง และ เด็กชาย-เด็กหญิงตามหลักการทางชีววิทยาเท่านั้น
3. ออกคำสั่งให้หน่วยงานรัฐบาลกลางบังคับใช้กฎหมายตามคำนิยามที่จำกัดนี้ และเรียกร้องให้มีการปรับปรุงแก้ไขเอกสาร กฎระเบียบ และแบบฟอร์มต่างๆ ให้สอดคล้องกับนโยบาย รวมถึงสั่งให้ลบการอ้างถึงอัตลักษณ์ทางเพศ
4. ละเลยความละเอียดอ่อนของสรรพนามระบุเพศ โดยกล่าวถึงผู้หญิงข้ามเพศด้วยคำว่า ‘ผู้ชาย’ (men) ในเอกสารคำสั่ง
5. ออกคำสั่งให้กระทรวงยุติธรรมบังคับใช้พื้นที่ และนโยบายที่แบ่งแยกตามเพศกำเนิดอย่างเคร่งครัด พร้อมให้ความสำคัญกับนโยบายที่ส่งเสริม ‘เพศสองขั้ว’
6. ให้เวลาฝ่ายกิจการนิติบัญญัติเพียง 30 วัน ในการเสนอร่างกฎหมายเป็นลายลักษณ์อักษร
7. ภายใน 120 วันนับจากวันที่มีคำสั่งนี้ หัวหน้าหน่วยงานแต่ละแห่งจะต้องส่งรายงานความคืบหน้าในการดำเนินการตามคำสั่งนี้แก่ประธานาธิบดี และต้องเพิกถอนเอกสารที่ไม่สอดคล้องกับนโยบาย โดยทำการระบุรายชื่อคู่มือ, แบบเรียน, งานวิจัย, จดหมาย, รวมถึงข้อบังคับเพื่อบุคคลข้ามเพศและกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศไว้อย่างชัดเจนถึง 14 ชิ้น
8. ระบุว่าคำสั่งนี้ไม่ได้สร้างสิทธิทางกฎหมายที่บังคับใช้ได้ เพียงแต่เป็นความพยายามในการกำหนดแนวทางในระดับรัฐบาลเพียงเท่านั้น สร้างเกราะป้องกันตนเองจากการถูกท้าทายทางกฎหมาย ในขณะที่ทำให้นโยบายเลือกปฏิบัติเหล่านี้เป็นส่วนหนึ่งของการดำเนินงานของรัฐบาล
(2) ยกเลิกคำสั่งและบันทึกข้อตกลงยุคไบเดน รวดเดียว 78 ฉบับ รวมถึงนโยบาย DEI คนข้ามเพศรับราชการทหาร สวัสดิการ LGBTQ+
ทรัมป์จั่วหัวคำสั่งบริหารด้วยการเรียกขานนโยบายสนับสนุนหลักการความหลากหลาย ความเสมอภาค และการยอมรับความแตกต่าง (DEI) ของไบเดนว่า ‘สิ้นเปลือง’ และนั่นเองที่นำมาซึ่งการรื้อทิ้งจากต้นตอ
ทรัมป์ระบุว่า DEI คือการเลือกปฏิบัติที่แฝงอยู่ในนามของคำว่าเท่าเทียม และอ้างว่าโครงการนี้ผิดกฎหมาย ไร้ศีลธรรม และสิ้นเปลืองทรัพยากรของผู้เสียภาษี จึงออกคำสั่งดำเนินการยุติโครงการ DEI ภายในรัฐบาลกลาง โดยทำการตัดงบประมาณจากโครงการ DEI ของทั่วทุกหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงทบทวนบทบาทของสำนักงานที่มีการเปลี่ยนชื่อเนื่องจากโครงการ DEI อีกด้วย นอกจากนี้ยังมีการมอบหมายให้ผู้อำนวยการสำนักงานฝ่ายบริหารงานบุคคลของสหรัฐฯ ทบทวนและปรับปรุงนโยบายการจ้างงานของรัฐบาลกลาง ข้อตกลงสหภาพแรงงาน และนโยบายหรือโปรแกรมการฝึกอบรมที่มีอยู่ทั้งหมดให้สอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงที่จะเกิดขึ้น โดยเน้นย้ำว่าการปฏิบัติงานของรัฐบาลกลาง รวมถึงการประเมินผลการปฏิบัติงานของพนักงานรัฐบาลกลาง จะมุ่งเป้าไปที่ความริเริ่ม ความสามารถ และศักยภาพของบุคคล จะไม่ขอพิจารณาปัจจัย เป้าหมาย นโยบาย คำสั่ง หรือข้อกำหนดใดที่เกี่ยวข้องกับ DEI อีก หนึ่งในตัวอย่างของโครงการในเครือ DEI ที่คำสั่งนี้เลือกเป็นเป้าหมายได้แก่ โครงการรับสมัคร บุคคลที่มีความบกพร่องทางสติปัญญาของสำนักงานการบินแห่งชาติ (FAA)
บริษัทยักษ์ใหญ่ในสหรัฐหลายแห่ง อาทิ McDonald’s, Walmart และบริษัทแม่ของ Facebook อย่าง Meta ได้ยุติหรือปรับลดโครงการ DEI ของตนหลังทรัมป์คว้าชัยในการเลือกตั้ง ขณะที่บริษัทอื่น ๆ เช่น Apple, Target และ Costco ยังคงปกป้องโครงการ DEI ที่มีอยู่ของพวกเขาอย่างเปิดเผย แม้ว่าคำสั่งนี้จะไม่เกี่ยวข้องกับการใช้นโยบาย DEI ในบริษัทเอกชน แต่เจ้าหน้าที่ผู้ดูแลคำสั่งบริหารฉบับนี้กล่าวว่า “เอกชนก็รอดูกันต่อไป จะมีการดำเนินการเพิ่มเติมเร็ว ๆ นี้”
(3) ถอนตัวจากความตกลงปารีสและองค์การอนามัยโลก (WHO)
ทรัมป์ได้ลงนามในคำสั่งบริหารที่จะถอดสหรัฐฯ ออกจากข้อตกลงปารีสเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อควบคุมการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิเฉลี่ยของโลกให้ต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส และพยายามไม่ให้เกิน 1.5 องศาเซลเซียสเมื่อเทียบกับช่วงก่อนปฏิวัติอุตสาหกรรม โดยมีประเทศสมาชิกผู้เข้าร่วมกว่า 194 (193 ประทศ 1 สหภาพ) ประเทศ
“สหรัฐฯ จะประหยัดเงินได้หนึ่งล้านล้านดอลลาร์จากการถอนตัวออกจากข้อตกลงดังกล่าว” ทรัมป์กล่าว
คำสั่งบริหารอีกฉบับที่ลงนามโดยทรัมป์เรียกร้องให้สหรัฐฯ ถอนตัวออกจากองค์การอนามัยโลก (WHO) โดยคำสั่งระบุว่า “การจัดการที่ผิดพลาดขององค์การในช่วงการระบาดของ COVID-19” และ “ค่าใช้จ่ายที่หนักหน่วง” ที่เกี่ยวข้องกับการเป็นสมาชิกขององค์กรระหว่างประเทศนี้ เป็นเหตุผลที่สหรัฐฯ ตัดสินใจถอนตัว ก่อนที่ต่อมาจะประกาศภาวะฉุกเฉินระดับชาติเกี่ยวกับต้นทุนพลังงานธรรมชาติ ที่มีเป้าหมายในการขุดน้ำมันดิบในอลาสกาเพื่อหวังจะลดค่าครองชีพ อีกทั้งยังออกคำสั่งยุติข้อกำหนดการผลิตยานยนต์ไฟฟ้า (EV) ที่รัฐบาลไบเดนเคยตั้งเป้าไว้ว่าภายในปี ค.ศ. 2030 จะต้องมียานยนต์ไฟฟ้าอย่างน้อย 50% ในท้องตลาดเพื่อลดการปล่อยก๊าซที่เป็นมลพิษ
โดยทรัมป์ได้ออกมาให้เหตุผลว่า “สหรัฐอเมริกาจะไม่ทำลายอุตสาหกรรมของตัวเอง ในขณะที่จีนไม่ได้เคยได้รับโทษจากการทำลายสิ่งแวดล้อม”
(4) ประกาศภาวะฉุกเฉินชายแดนใต้และยกเลิก birthright citizenship
กำแพงยังสร้างไม่ทันเสร็จ ทรัมป์จึงออกค่ำสั่งเผด็จศึกชายแดนทางตอนใต้ของสหรัฐฯ ผ่านการประกาศภาวะฉุกเฉินและดำเนินการปราบปรามการลักลอบย้ายถิ่นฐานอย่างเข้มงวด โดยสั่งการกระทรวงกลาโหมให้ใช้ทรัพยากรทางทหารที่มากยิ่งขึ้น มีการมอบหมายให้เจ้าหน้าที่ส่งนายทหารเพิ่มเติมไปยังชายแดน และมีการออกคำสั่งให้หยุดการรับผู้ลี้ภัยและผู้ขอลี้ภัยในทันที
อีกหนึ่งความบ้าบิ่นของทรัมป์คือการลงนามในคำสั่งบริหารที่พยายามจะยกเลิกการให้สิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิดแก่เด็กที่เกิดในสหรัฐฯ หรือ birthright citizenship โดยมีเนื้อความว่า หากผู้ปกครองอย่างน้อยหนึ่งคนไม่ใช่ผู้อยู่อาศัยถาวรตามกฎหมายหรือพลเมืองสหรัฐฯ เด็กจะไม่สามารถรับสิทธิได้ อีกทั้งยังห้ามมิให้หน่วยงานรัฐบาลกลางออกหรือรับรองเอกสารที่พิสูจน์การเป็นพลเมืองสหรัฐฯ แก่เด็กเหล่านี้ โดยเฉพาะเด็กที่เกิดจากผู้ลักลอบอพยพหรือผู้ที่อยู่ในสหรัฐฯ ด้วยวีซ่าชั่วคราว อย่างไรก็ตาม แม้คำสั่งฝ่ายบริหารนี้อาจทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในบางกรณี แต่การยกเลิกสิทธิการเป็นพลเมืองโดยกำเนิดนั้นเป็นการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ที่เกิดขึ้นจริงได้ยาก เนื่องจากกฎหมายบทนี้เป็นถึงส่วนสำคัญที่ได้รับการบรรจุอยู่ในรัฐธรรมนูญสหรัฐฯ มาเป็นเวลากว่า 157 ปี นับตั้งแต่สงครามกลางเมืองอเมริกา และได้รับการพิพากษายืนโดยศาลฎีกาสูงสุดของสหรัฐฯ ถึงสองครั้งด้วยกัน
อ้างอิง
abc: https://bit.ly/3PLEbne
bbc: https://bit.ly/3CmExgX
ncbnews: https://bit.ly/4g3ytb2
them: https://bit.ly/4ggDf5e
whitehouse: https://bit.ly/40IyigQ, https://bit.ly/3WrLvYV