“บางทีจะข้ามถนนหน้าออฟฟิศ อยากจะให้รถชนแม่งรู้แล้วรู้รอดไป จะได้ไม่ต้องขึ้นไปประชุมงานลูกค้าเจ้านี้”
ไม่ใช่คำว่าลูกค้าเจ้านี้หรอกที่เจ้าของประโยคพูดถึง ชื่อของแบรนด์ดังชัดและทุกคนที่ได้ยินเรื่องนี้ก็เข็ดขยาดตาม ๆ กัน เราได้ยินเรื่องนี้ครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกับเพื่อนคนนี้ใหม่ ๆ และทุกครั้งที่เพื่อนเล่า วงสนทนาจะขำครืน สิ่งนี้เป็นเมจิกโมเมนต์ที่วงการโฆษณาชอบพูดกันว่ามัน ‘โดน Insight’ และเสียงขำครืนนี้ก็อนุมานได้กลาย ๆ ว่าไอ้พวกที่นั่งขำ มันนึกออกว่าการประชุมประหวั่นพรั่นพึงเพียงใด เพราะเคยอยากตายเพราะกลัวการทำงานกันมาแล้วทุกคน
เมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อนมีประกาศปลดผู้บริหารคนหนึ่งจากเอเจนซี่ใหญ่ในไทยที่สั่นสะเทือนทุกหย่อมหญ้าและเป็นทอล์กออฟเดอะทาวน์ของแวดวงโฆษณาไปหลายวัน เรื่องนี้นำไปสู่บทสนทนามากมายว่าด้วยความท็อกซิกของอุตสาหกรรมและแผลใจ บ้างก็เพราะเคยร่วมงาน บ้างก็เพราะเคยได้ยินเพื่อนเล่าทั้งน้ำตา
“30% ของคนเอเจนซี่เคยผ่านการทำงานที่นั่น เคยเจอเขา ถ้าส่วนตัวเราเข้าใจนะว่าทำไมเขาเป็นแบบนั้น เขาเก่งจริง ๆ ถ้าเราเก่งขนาดนั้นก็อาจจะ แค่อาจจะนะ ทำแบบนั้นเหมือนกัน”
เพื่อนคนเดิมพูดเสียงจริงจังและเข้าอกเข้าใจ ปัจจุบันเธออยู่อีกเอเจนซี่หนึ่งหลังลาออกจากที่นั่นมาหลายปี เอเจนซี่นั้นเป็นที่สุดท้ายที่เธอดำรงตำแหน่ง AE หรือ Account Executive ก่อนจะสูญเสียความเชื่อมั่นว่าตัวเองเหมาะกับตำแหน่งนี้ไปตลอดกาล
#SPECTRUMOFHUMAN: ADVERTISING GOT ME FEELING LIKE A PSYCHO
เปิดชีวิตเดือด ๆ ของคนสายเลือดเอเจนซี่ ที่พระเจ้าไม่ใช่เงิน แต่เป็น ‘ลูกค้า’ (Client) และต้องสู้ยิบตา 24/7
‘ทำไมเลือกทำงานเอเจนซี่ ?’ คือคำถามแรกหลังจากที่เราลงลึกเรื่องชีวิตก่อนเอเจนซี่ไปสักพัก ปัจจุบันเธอมีฐานที่มั่นอยู่ในเอเจนซี่ระดับภูมิภาค แต่ก่อนหน้านี้เธอเรียนแฟชั่นดีไซน์ และฝันอยากทำงานสไตลิสต์ ท้ายที่สุด ความฝันนั้นล่มสลายไป เธอพบรักครั้งใหม่กับงานเอเจนซี่ และดูเหมือนจะเป็นความรักที่ถอนตัวยากเสียด้วย เพราะนี่ก็เป็นปีที่ 6 แล้วในสายงาน
“งานมันสนุก มันท้าทาย มันเจออะไรใหม่ ๆ ทุกวัน ต่อให้รู้สึกว่าเหนื่อยกับมัน แต่เวลาได้บรีฟงานใหม่ ๆ ที่รู้สึกว่ามันจะออกมาสนุก จะรู้สึกว่าตาเป็นหัวใจใส่มัน ต่อให้ลูกค้าจะเหี้ย แต่ถ้าครีเอทีฟมันวางมาดี มันก็สนุก เรามีความสุขที่เห็นงานตัวเองออนแล้ว แล้วงานในหัวเรามันไวรอลขึ้นมา”
ไม่ใช่แค่กับลูกค้าที่สุขใจที่งานไวรอล คนทำงานก็เช่นกัน เธอพยักหน้าและเล่าต่อ
“พออยู่ในวงการนี้ เราก็กลายเป็น Insider ของทุกวงการ ทุกแบรนด์มันต้องใช้โฆษณาอะ แล้วเราก็ได้รู้ทุกอย่างผ่านงานเอเจนซี่”
ความรู้สึกของการเป็นคนในที่ได้รู้อะไรหลายอย่างสร้างความพิเศษให้อาชีพนี้ได้มากมาย แต่ความรู้สึกเช่นนั้นเรียกร้องเอาทั้งเวลา ความเครียด บั่นทอนทั้งความฝันและความมั่นใจ และบางครั้งก็ลามไปถึงสุขภาพ เพื่อนคนนี้ทำงานมาแล้วทุกเวลา ลางานก็พกคอมไป
“ทำงานเอเจนซี่มันต้องสู้กับคนตลอดเวลา เวลาทำงานมันคือการเปิดโหมดเซอร์ไวเวอร์อะ หัวต้องไว ถามอะไรก็ต้องตอบแทบทันที ส่งรีพอร์ตทีนึงก็กังวลฟีดแบ็ก จะส่งงานเออีก็ต้องตั้งการ์ดแล้ว เราพลาดตรงไหนเขาตีเราทันที ออฟฟิศมี 1,000 คน มีอีโก้ไปแล้วครึ่งนึง เผลอ ๆ มันอีโก้ทั้งออฟฟิศ สิ่งนี้มันอันตรายต่อสุขภาพจิต”
เราเห็นด้วยเงียบ ๆ กับคำตอบ และอยากถามกลับว่าถ้าเออีพลาดแล้วเพื่อนจะตีเขากลับไหม แต่ก็กลัวโดนตีกลับมากกว่า แม้จะพูดติดตลก แต่คงน่าหวาดกลัวไม่น้อยถ้าเราจะไม่กล้าพลาดอะไรเลยในชีวิต เพราะมีระบบตรวจสอบจากทีมงานกันเองที่ใกล้ชิดขนาดนี้
เจ้าตัวแสดงความกังวลต่อสุขภาพจิตของตัวเองอย่างเห็นได้ชัด และมีหลายครั้งที่เลิกงานแล้วแต่งานยังตามมาถึงบ้าน เราจึงถามต่อเรื่องสุขภาพกาย เพราะรู้กันดีอยู่แล้วว่าบางช่วงที่งานยุ่งมาก คนเอเจนซี่แทบไม่ได้กิน ไม่ได้นอน
“สุขภาพกายก็ไม่ได้รอด เพิ่งไปหาหมอมาเพราะกินข้าวไม่ได้ จนมันเป็นโรคเรื้อรัง เพราเรากินข้าวไม่เป็นเวลา”
โรคเรื้อรังแบบนี้ต้องกินยาเป็นปี การโหมงานหนักในช่วงเวลาสั้น ๆ ส่งผลรบกวนการใช้ชีวิตและการพักผ่อนอีกยาวนาน
“ทำงานนี้อย่าหวังเลยว่าจะมีลูกได้ ถ้ามีลูกคงต้องเอาไปอยู่ต่างจังหวัดอะ ท้องก็ทำงานไม่ได้แล้ว เพราะมันเครียดเกิน”
เราคุยกันต่อว่าแล้วมันคุ้มหรอ เพื่อนตอบว่ามันไม่ได้คุ้มหรอก และโทษวินัยของตัวเองที่บางครั้งก็เลือกจะไม่ไปกินข้าวเอง บางครั้งก็มีประชุมด่วนจนลืมไปบ้าง ท้ายที่สุดแล้วการเป็นส่วนหนึ่งของเอเจนซี่ก็ยังเป็นชีวิตที่เลือกเองและจะเลือกอีกอยู่ดี
#งานที่ดีคืองานใหม่ จากหัวใจพี่ก็อปปี้ไรเตอร์
“เราเคยพูดกันเล่น ๆ ตอนทำงานหนึ่ง เนื้อหาในบรีฟบอกให้เราบอกคนดูว่าให้พักผ่อน นอนให้ดี รับมือกับเรื่องไม่คาดฝัน ตอนที่คิดว่าจะทำยังไงให้คนอื่นเขากินดีนอนดี เราก็นั่งกินข้าวหน้าคอมตอนตีหนึ่ง นอนพอหรอ อย่าหวัง”
ก็อปปี้ไรเตอร์อีกคนหนึ่งเล่าให้เราฟังแบบไม่หายใจถึงช่วงเวลาที่นักหนาในอาชีพ ว่าตามปฏิทินปกติของงานเอเจนซี่ เดือนสุดท้ายและเดือนแรกของปีอาจจะว่างสักหน่อย ปีไหนถ้าโชคดีก็งานทรง ๆ ไปจนเดือนเมษายนที่เป็นช่วงหยุดยาว เดือนอื่น ๆ ในรอบปีก็แล้วแต่บุญพาวาสนาส่ง แต่ช่วงที่ยุ่งสุดๆ แบบอกสั่นขวัญแขวนไม่กินไม่นอนคือกันยายนถึงพฤศจิกายนที่เป็นช่วงบัดเจ็ท Q1 ของฝั่งแบรนด์เริ่มสรุป แบรนด์ใหญ่ ๆ บางเจ้าก็จะขอทำแคมเปนจ์ตลอดปี เหล่าเอเจนซี่ก็จะไล่พิชชิ่งงานกัน นับเป็นช่วงปีที่เหล่าครีเอทีฟ แพลนเนอร์ เออี มีเดีย ทำงานหนักที่สุด
“ในขณะที่เราโดนด่าจากลูกค้าอีกเจ้า โดนชาเลนจ์จากเออีและแพลนเนอร์ เราก็ต้องคิดบวกและพร้อมจะสนุกกับบรีฟใหม่ที่แม่งมาจากคนละโลก ข้อมูลคนละชุด และมันต้องสดใหม่เท่า ๆ กัน เมื่อวานร้องไห้กับโฆษณาอีกตัว วันพรุ่งนี้อาจจะต้องไปฉีกยิ้มหวานกินโปรดักต์อีกอย่าง ปกติไม่แดกเนื้อ ถ้าโปรดักต์เป็นเนื้อ กูก็จะแดก”
ก็อปปี้ไรเตอร์คนเดิมอธิบายด้วยท่าทีเหมือนคนสติจะแตก เธอยังยืนยันว่าไม่มีใครบังคับให้ทำอะไรทั้งสิ้น แต่ก็สัมผัสได้ถึง Peer Pressure และบางครั้งก็ต้อง Fake it ‘til you make it เพื่อให้มีชีวิตรอดในอุตสาหกรรมแห่งการเชือดเฉือนไปแบบวันต่อวัน
“พาร์ตที่เลวร้ายที่สุดของการขายงานคือบางทีเรายังไม่ชอบหรอก แต่ต้องมั่นใจในตัวเองที่สุดต่อให้จะฉี่แทบแตกตอนพรีเซนต์ คืนก่อนพรีเซนต์อย่าหวังจะนอนหลับ คิดงานได้ตอนไหนก็ต้องลุกขึ้นมา มันต้องทำงานตลอดเวลา ตลอด-เวลา”
พลังที่ยิ่งใหญ่มาพร้อมกับความรับผิดชอบอันใหญ่ยิ่ง หลายเสียงบอกตรงกันว่างานเอเจนซี่มีลำดับขั้น และครีเอทีฟก็แทบเป็นใหญ่ที่สุดในเอเจนซี่ เมื่อได้ยินคำถาม ก็อปปี้ไรท์เตอร์คนนี้ค้านหัวชนฝา
“ถ้าบอกว่าอีโก้ใหญ่ที่สุดในออฟฟิศจะพอเห็นด้วยบ้าง”
ขณะที่พูดไปขำไป และไม่ยอมรับว่าครีเอทีฟจะเป็นใหญ่ที่สุดจริง เธอก็อธิบายต่อว่าเพราะอะไรคนทำงานเอเจนซี่จะ ‘ต้อง’ เป็นแบบนั้น
“ความมั่นใจมันคือเครดิตของงานเอเจนซี่ เราทำงานบน Strategy นะ เพราะฉะนั้นเวลาเกิดคำถามเราต้องกล้าปกป้องสิ่งที่เราคิดมา งานเราจะสื่อสารกับคนเป็นล้าน เราแข่งกับงานอื่นในอุตสาหกรรม บางทีลูกค้ามาหาเราเพราะชอบงานที่เราเคยทำ แต่วินาทีที่เราทำงานมันไม่มีอะไรพิสูจน์ได้เลยนะว่าจะแป้กหรือปัง เพราะฉะนั้น ความมั่นใจนี่แหละ ช่วยให้เราคิดงานได้ ฝ่อเมื่อไรคือจบ”
แต่ความมั่นใจก็มักจะถูกทำลายเสมอเมื่องานถูกปล่อยออกไป ครีเอทีฟจึงเป็นงานที่ผูกติดอยู่กับฟีดแบ็กเหมือนผีตายโหงที่ตายแล้วไม่ได้ไปเกิด แม้จะคิดกลมและคราฟต์มาดีแค่ไหนก็อาจไม่ถูกใจคน ถ้าข้าวคืออาหารท้อง ฟีดแบ็กดีดีก็เป็นอาหารของครีเอทีฟ จนบางทีงานยุ่งและบรีฟใหม่เท่านั้นที่จะมาช่วยเยียวยาเราได้จากความล้มเหลว เพราะถ้ามีบรีฟใหม่ นั่นหมายความว่าเรายังมีโอกาสแก้ตัวใหม่เสมอ แม้จะไม่เชื่อว่าตัวเองจะทำได้ดีพอ
“แต่ตอนนั้นที่ทำงานก็ชอบมากนะ มันก็มีงานที่เราไม่ได้คาดหวังแล้วออกมาดี เรายังลูกเจี๊ยบในวงการมาก พูดแทนทุกคนไม่ได้หรอก”
ในความถ่อมตนหลังจากพูดทุกอย่างที่คิดออกมายาวเหยียด เราถามต่อว่าอะไรที่ก็อปปี้ไรเตอร์คนนี้ชอบในงานเอเจนซี่
“ชอบที่มันเท่ ทำงานในเมือง ออฟฟิศติดรถไฟฟ้า ทุกคนแต่งตัวดี ออฟฟิศสวย ในออฟฟิศก็มีน้ำ ขนม กาแฟ มีเกมให้เล่น มีที่นอน ออฟฟิศน่าอยู่มาก ๆ”
แต่ท้ายที่สุดเหตุผลที่ทำให้หลงรักงานเอเจนซี่อยู่หลายปีก็ไม่มีความหมาย เมื่อก็อปปี้ไรเตอร์คนนี้ลงท้ายด้วยน้ำเสียงสบายๆ เหมือนคนหลุดพ้น
“แต่เราจะอยู่ออฟฟิศทำไมล่ะ ทำไมเราไม่เลิกงานแล้วกลับบ้าน”
#เอเจนซี่ที่ดีก็มี แต่หายากหน่อยนะ
“ตอนมาทำงานเอเจนซี่ เราออกจากรีเทลที่นึงเพราะเพื่อนชวน ตอนนั้นเพิ่งเลิกกับแฟน อยากเปลี่ยนสิ่งแวดล้อมใหม่ ๆ ด้วย พอมาทำจริง ๆ มันคนละเรื่องเลย เป็นครั้งแรกที่ทำงานกับคนวัยไล่เลี่ยกัน บรรยากาศมันก็เปลี่ยนจริงๆ”
ตอนที่เริ่มทำงานตำแหน่งบัญชีควบทรัพยากรมนุษย์ (HR) ที่เอเจนซี่เล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เพื่อนคนนี้เพิ่งอายุ 20 ต้น ๆ และทำงานเป็นที่ที่สองในชีวิต ก่อนจะลงหลักปักฐานกับงานบัญชี ก็มีความสนใจในงานนิเทศศาสตร์มาก่อน การทำงานเอเจนซี่จึงเป็นงานสนุกๆ ในชีวิต และยืดหยุ่นทางเวลา เมื่อเทียบการงานอื่น ๆ ที่เป็นระบบกว่าเยอะ
“บางทีเลิกงานก็อยากนั่งเฉยๆ ที่ทำงานไง ทำนู่นทำนี่ไป กลางวันอาจจะไม่ได้ทำอะไรก็ได้ ค่อยมาทำค่ำๆ เย็นๆ มันก็ไม่ได้มีใครมาว่า อาจจะเพราะแบบนี้ด้วยที่ทำให้อยู่ได้นาน”
แม้จะไม่มีอะไรที่ชอบมากเป็นพิเศษ แต่ออฟฟิศก็เป็นที่สบายใจให้เพื่อนคนนี้เสมอในช่วงเวลาเกือบ ๆ 5 ปีที่อยู่ที่นั่น บางเสาร์อาทิตย์เข้าไปเล่นเกม บางคืนก็อยู่ดึกคุยเล่นกันกับพวกครีเอทีฟ-แพลนเนอร์ที่ทำงานจนเกือบเช้า บางวันก็ไปต่อกับพี่ที่ทำงาน เอเจนซี่นี้ให้เพื่อนและสังคม ขณะที่ค่าตอบแทนช่างน้อยนิดและเขาก็ไม่ได้เรียกร้องอะไรเพราะเข้าใจว่าทุกอย่างรวมอยู่ในเงินเดือน แต่ก็ถือว่ามีความสุขได้ตามอัตภาพ ขณะที่เห็นเพื่อน ๆ ตำแหน่งอื่นหามรุ่งหามค่ำเป็นปกติ เรื่องเช่นนี้เกิดขึ้นวนซ้ำอยู่ 5 ปี
“สุดท้ายก็ต้องออกเพราะเป้าหมายของเรามันต่างกันแล้ว 5 ปีที่ทำงานที่นั่นเราไม่มีเพื่อน ไม่มีแฟน ไม่มีคนคุย ไม่มีอะไรเลยที่ทำให้เป้าหมายมันเปลี่ยน เขาทำให้เรารู้สึกเหมือนเราไม่สามารถโตไปกว่านี้ได้ แต่เราไม่เห็นด้วย พอเป้าหมายมันเปลี่ยน เราก็ต้องไปต่อ”
เราถามกลับว่ามันเป็นอย่างไร ความรู้สึกของการอยู่ที่นั่น เรียนรู้อะไรจากมัน เพื่อนคนนี้นิ่งคิด
“มันทำให้รู้สึกว่ามีอะไรให้แก้ปัญหาเอง มันต้องมีคนผิด แล้วก็ง่ายที่สุดถ้าคนผิดเป็นเรา ทั้งที่บางเรื่องมันไม่ต้องมีคนผิดก็ได้ แต่เราก็ตัดสินใจแก้ไขทำเองทั้งหมด”
คำตอบนั้นสะท้อนวัฒนธรรมบางอย่างของงานเอเจนซี่ วัฒนธรรมที่ทั้ง 2 คนข้างบนพูดถึงว่ามันมีความกดดันมหาศาลในงานของพวกเรา การรู้สึกไม่มีที่พึ่ง ไม่มีพวกพ้อง ไม่มีทีมที่คอยปกป้องกัน มีแต่การต่อสู้และฟาดกัน ไม่มีที่ทางให้ Human Error ทั้งที่มันก็เป็นส่วนประกอบของการเรียนรู้
“คงไม่ใช่แค่เรา คิดว่าหลาย ๆ คนก็เป็นแบบนี้เหมือนกัน”
ท้ายที่สุดเธอตัดสินใจออกจากเอเจนซี่แห่งนั้น ละทิ้งเพื่อนและสังคมที่เคยใช้เวลาส่วนใหญ่ไปกับมัน หลังว่างงาน เธอทดลองทำงานอื่น ๆ ไปด้วยและไม่ได้เห็นเอเจนซี่เป็นสิ่งที่น่าสนใจอีกต่อไป ค่อย ๆ ฟื้นฟูร่างกาย จิตใจ และตัวตนกลับมา พร้อมกับเดินตามเป้าหมายใหม่ในชีวิต
1 ปีให้หลัง เธอตัดสินใจกลับสู่วงการเอเจนซี่อีกครั้ง ผ่านคำชวนของเพื่อนคนเดิม ที่รอบนี้ไม่ได้เชิญเฉยๆ แต่เชิญเพราะมี Referer Code ที่จะให้เงินเล็ก ๆ น้อย ๆ กับคนชวน อีกหนึ่งระบบ Recruitment ที่ช่วยให้คนเอเจนซี่มีความเป็นพรรคพวกเพื่อนพ้องมากขึ้น และอาจจะช่วยให้งานราบรื่นขึ้นในบางครั้ง และอย่างน้อย หากมีคนคุ้นเคยคอยทำงานอยู่ใกล้ ๆ ก็อาจทำให้ชีวิตการทำงานที่แข่งขันสูงนี้มันไม่โดดเดี่ยวเกินไปนัก
“วันนี้มันต่างออกไปจากวันนั้นนะ พอมาเจอเจ้านายที่ดี เขาก็สอนให้เรารู้ว่าบางเรื่องมันไม่ต้องมีคนผิด บางเรื่องเราก็ไม่ต้องแก้เองคนเดียว เรามีทีม มีคนที่คอยซัพพอร์ต บางเรื่องที่เรากังวล พอเอาไปให้หัวหน้าดู แล้วเขาบอกว่าไม่เห็นเป็นอะไรเลย มันคือความรู้สึกที่ไม่เคยเจอมาก่อนจากที่เก่า”
พอได้เริ่มงานใหม่กับทีมใหม่ ความเชื่อที่ว่าคัลเจอร์เอเจนซี่ทำดี ๆ ก็ทำได้ค่อย ๆ คืนกลับมา แน่นอนว่าโลกก็ไม่ได้ดีไปทั้งหมด ยังมีคนร้าย ๆ ที่เชื่อว่าเราปากร้ายเท่าไรก็ได้ในโลกการทำงาน ยังมีคนที่เห็นเอเจนซี่เป็นชนชั้นที่เหนือกว่า แต่แค่ในที่ทำงานมีคนที่คอยซัพพอร์ตและเห็นกันและกันในฐานะ ‘คน’ ‘ทำงาน’ ก็เพียงพอที่จะอยู่ต่อไปได้แล้ว
#AdvertisingAgency #AgencyLife #ToxicRelationship #WorkplaceAbuse #ชีวิตเอเจนซี่
Content by Ms.Satisfaction
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”