Spectrum

profeZZional like GEN Z: เมื่อความเซะตุ้มเล้งของพนักงาน Gen Zกลายเป็นความเละปุ๊แบบใหม่ในโลกทำงาน

3 นาที

35

Share to

ธันวาคม 11, 2024

3 นาที

35

ธันวาคม 11, 2024

Share to

60% ของผู้ประกอบการ ยอมรับว่าในปี ค.ศ. 2024 นี้มีการปลดพนักงาน ‘เจนซี’ ออกจากงาน และไม่อยากจ้างคนเจนนี้อีกแล้ว

เจนซี – Gen z – Generation Z กลุ่มคนและกลุ่มคำที่ตกเป็นพาดหัวข่าวและเป็นเป้าของคำครหาไม่หยุดไม่หย่อน ตั้งแต่สมัยยังเป็นนักเรียนก็ถูกมองว่าไม่มีสัมมาคาราวะ พอเป็นพนักงานก็กลายเป็นว่าไม่มีกาลเทศะ แล้วไหนจะภาพจำที่ติดตัวเสมอมา ว่าเจนซีมันเป็นนักสู้ไม่เลือกวาระ

แต่ถึงพี่ป้าน้าอาจะไม่ถูกใจ ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าการทำงานของคนเจนซีก็ ‘มีดี’ และบ่อยครั้งทัศนคติในการทำงานของคนรุ่นนี้ก็ได้พาคนรุ่นพี่ออกนอกกรอบ– แต่พี่ ๆ จะแฮปปี้ไหมก็เป็นอีกเรื่อง

#Spectroscope: ProfeZZional Like Gen Z เมื่อความเซะตุ้มเล้งของพนักงาน Gen Z กลายเป็นความเละปุ๊แบบใหม่ในโลกทำงาน

‘Gen Z’ คือกลุ่มคนที่เกิดในช่วงปี ค.ศ. 1996 – 2013 และตั้งแต่ Z Citizen เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของตลาดแรงงาน วัฒนธรรมการทำงานและการตลาดก็เปลี่ยนไปตลอดกาล ในขณะที่คนเจนวายที่ก้าวเข้าสู่ตลาดมาก่อนหน้าขึ้นชื่อว่าเป็นคนกลุ่มที่มีความ ‘ประนีประนอม’ เป็นเอกลักษณ์ หรืออาจเรียกได้ว่ารู้วิธีเอาตัวรอดในวงการที่เจนเอ็กซ์เป็นใหญ่ คอยชี้นำ ตีกรอบ และขีดกฏเกณฑ์ไว้ชัดเจน ด้วยเหตุผลที่เถียงได้ยากว่า “ก็พี่ทำมาแล้วมันเวิร์ค” เจนซีกลับสู้หัวชนฝาในเรื่องที่ตนมองว่ามันไม่แฟร์และไร้เหตุผล ไม่ว่าจะเป็นเวลาในการทำงาน คำนิยามของคำว่า ‘มืออาชีพ’ ไปจนถึงเส้นทางอาชีพและเป้าหมายในชีวิต

#กรอบที่พี่ตีไว้– มีไว้ทำไมนะ?

เจนซีขึ้นชื่อเรื่องไม่เคารพกฎที่ตัดสินใจแล้วว่า ‘ไม่เข้าท่า’ ทั้งภาษาที่ดูทางการเกินไป และการแต่งกายที่ไม่สะดวกสบายเอาเสียเลย จนมีเทรนด์ในโซเชียลมีเดียว่าการแต่งตัวบอกอายุ ที่แซวกันขำ ๆ ว่าในขณะที่เจนเอ็กซ์เน้นใส่สูตรผูกไทด์ เจนวายใส่กางเกงยีนส์กับเสื้อเชิ้ต (ที่ต้องเหน็บชายเสื้อแบบ French Style) เจนซีก็มาทำงานด้วยเสื้อบอล กางเกงขาสั้น หรือฮู้ดดี้ตัวโคร่งกับกางเกงยีนส์ตัวหลวม เพราะถือคติว่าแต่งตัวแบบไหนก็ทำงานได้เหมือนกัน 

อีกหนึ่งไวรัลเทรนด์จากชาวออฟฟิศเจนซีคือ ‘Gen Z sign off’ หรือการลงท้ายอีเมล์แบบเน้นสะใจ จากรูปแบบทางการที่เป็นเหมือนกฏบัญญัติในการลงท้ายอีเมล์อย่าง “ด้วยความเคารพอย่างสูง” ถูกเปลี่ยนเป็นการทิ้งท้ายแซ่บซ่าเช่น “ด้วยความเย็นชาอย่างยิ่ง” ​หรือ  “ด้วยความอดทนหยดสุดท้าย”  เจนซีให้ความเห็นไว้ว่าการลงท้ายอีเมล์กันเองในบริษัทไม่จำเป็นต้องซีเรียสขนาดนั้น ในขณะที่รุ่นพี่กังวลว่าความไม่จริงจังนี้จะติดเป็นนิสัย และอาจพลาดได้ในวันหนึ่ง

นอกจากนี้ยังมีเจนซีบางคนให้สัมภาษณ์ว่าการอีเมล์แบบไม่เป็นทางการนัก และการเปิดอีเมล์ด้วยประโยคน่ารักหรือขำขัน เช่น “เรียน คุณฟ้าลดาที่สวยเริ่ดที่สุดในปฐพี” แทนการเปิดแบบเดิมอย่าง “เรียนคุณฟ้าลดาที่เคารพ” นั้นไม่เสียหาย แล้วยังเป็นการสร้างความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนพนักงาน หรือแม้กระทั่งลูกค้าด้วย และการ ‘สร้างความสัมพันธ์’ กับลูกค้าก็เป็นอีกหนึ่งประเด็นที่มีการถกเเถียงร้อนแรงบนอินเตอร์เน็ต เพราะเจนเอ็กซ์และวายมองว่าควรมีเส้นแบ่งระหว่างลูกค้าไว้เพื่อให้ไวบ์ของการเป็น ‘มืออาชีพ’ เจนซีมองว่าสนิทไว้ดีกว่าเพื่อคอนเน็กชัน และหากการทำงานในหน้าที่ไม่ได้มีปัญหา การสนิทสนมกับลูกค้าก็ถือว่าเป็นเรื่องนอกขอบเขตของงาน

และหนึ่งในข้อถกเถียงที่ร้อนแรงที่สุดคงจะไม่พ้นการ ‘Work from home’ ที่เจนวายแปลตรงตัวว่าทำงานจากที่บ้าน แต่เจนซีเข้าใจว่าทำจากที่ไหนก็ได้ที่ไม่ใช่ออฟฟิศ อีกหนึ่ง Tiktok ที่ไวรัลจนมียอดวิวทะลุ 24 ล้านเป็นคลิปประชุมออนไลน์ของพนักงานสาวอลิสสา เจนซีผู้ work from nail salon แบบสับ แม้นี่จะเป็นการทำการตลาดแบบชาญฉลาดของร้านทำเล็บ แต่ก็สร้างบทสนาทนาบนโซเชียลมีเดียไปยาวนานเพราะมีคอมเมนต์ที่เล่าว่ามีคนทำจริง ๆ และการทำเล็บยังถือว่าน้อยไป บางรายประชุมไป สระผมไป บางรายเปิดกล้องไว้ตอนทำกับข้าว แน่นอนว่าเสียงแตกเป็นสองฝั่ง ระหว่างฝ่ายที่เห็นว่าหากยังทำงานได้และไม่รบกวนเพื่อนร่วมงานก็ไม่น่ามีปัญหา ในขณะที่อีกฝ่ายแย้งว่าต่อให้การทำงานของเจ้าตัวยังฉลุย แต่การทำอย่างอื่นตอนประชุมก็รบกวนพนักงานคนอื่นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ และคนเจนวายในออฟฟิศก็ขี้เกรงใจเกินว่าจะเอ่ยปากพูด

#เลิกงานตรงเวลาแต่ว่าเวิร์คไร้บาลานซ์

เป็นที่รู้กันว่าเจนซีเอาเป็นเอาตายกับเวลาเลิกงาน ถ้ากฎบริษัทบอกว่าเลิกงาน 17:00 เวลานั้นก็ถึงเวลาพับแล็ปท็อป เก็บไอแพดลงกระเป๋า แล้วย่ำเท้ากลับบ้าน เมื่อเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาเพิ่งมีประเด็นร้อนว่าด้วยเรื่องเวลาในการทำงาน หลังรุ่นพี่ทนายโพสต์แชทจากรุ่นน้องที่ ‘แจ้งให้ทราบ’ ว่า “ฉันจะเข้างานพรุ่งนี้เวลา 11:30 เนื่องจากตอนนี้กำลังออกงานที่เวลา 20:00” จนเกิดเป็นข้อถกเถียงออนไลน์ว่าด้วยการทำงานล่วงเวลาว่าเป็นการเอาเปรียบพนักงาน เป็นค่านิยมที่ท็อกซิก หรือเป็นสปิริตที่ควรมีกันแน่ หลายคอมเมนต์กล่าวว่าเจนซีติดขี้เกียจ เอาแต่จะทำงานตามเวลาโดยไม่ยืดหยุ่นไปตามหน้าที่เสียบ้าง ในขณะที่ฝ่ายเห็นด้วยกับเจนซีก็ท้วงว่าแล้วทำไมงานถึงไม่ถุกออกแบบมาให้เหามะสมกับเวลาทำงานล่ะ นี่เป็นปัญหาการบริการของหัวหน้าหรือเปล่า? เรื่องนี้ไม่ได้จบที่การมีข้อสรุปตายตัว ต่างออฟฟิศ ต่างทีม ต่างก็มีข้อตกลงที่ต่างกันไป แต่คำถามต่อไปที่เจนซีทิ้งไว้คือ Work life balance เกิดขึ้นได้จริง ๆ หรือ? ในสภาพสังคมที่ทำงานเดียวไม่พอใช้จ่ายเยี่ยงนี้

Tiktoker หลายคนเข้าร่วมถกประเด็นนี้ด้วยการแจงว่าคนเจนซีเป็นรุ่นที่เติบโตมาพร้อมสกิล Content creator และนั่นหมายถึงชีวิตส่วนตัวก็เป็นคอนเทนต์ เป็นช่องทางทำเงินทั้งสิ้น และหลายคนก็ได้งานประจำจากการทำช่องออนไลน์ของตัวเองเสียด้วยซ้ำ และการทำเช่นนั้นก็ได้รับการพิสูจน์แล้วว่าเวิร์ค Gen Z Marketing กลายเป็นการตลาดที่บริษัทใหญ่ระดับโลกนำไปใช้ และผลสำเร็จสะท้อนจากตัวเลขเอ็นเกจเม็นต์ทางโซเชียลมีเดียที่เพิ่มขึ้น เด็กเจนซีที่หิ้วโทรศัพท์มือถือวนรอบออฟฟิศ คนที่ถูกหาว่าไม่ค่อยทำงาน กลายเป็นตัวแปรที่ทำให้แบรนด์เป็นที่รู้จักและพูดถึงมากขึ้น และสินค้าก็ถูกออกแบบมาให้กลายเป็นส่วนหนึ่งของการทำคอนเทนต์ออนไลน์ได้ การตลาดของเจนซีที่คนคุ้นเคยก็คือการทำให้บริษัท ‘เป็นกันเอง’ มากขึ้น เช่นการเอาผู้บริหารมาเล่นเทรนด์ต่าง ๆ ในโซเชียลมีเดีย หรือการให้ทีมงานเข้ามาพุดคุยกับลูกค้า ซึ่งมีผลสำรวจออกมาแล้วว่าช่วยการซื่อสัตย์ต่อแบรนด์เพิ่มขึ้น เพราะลูกค้ารู้สึกผูกพันกับคนที่รู้ชื่อ เห็นหน้าค่าตากัน มากกว่าแต่ก่อนที่เป็นเพียงแบรนด์และโลโก้ แต่แน่นอนว่าการทำงานลักษณะนี้แลกมาด้วยเส้นแบ่งระหว่างงานกับชีวิตส่วนตัวที่เบาบาง เพราะฉะนั้นจึงขอตีตกข้อกล่าวหาไปว่าเจนซีขี้เกียจ และทำงานไม่เป็นระบบ เพราะจริง ๆ แล้วงานที่ทำอาจไม่ถูกมองว่าเป็น ‘งาน’ ตามคำจำกัดความของคนรุ่นพี่ต่างหาก

แน่นอนว่าเราไม่สามารถแบ่งคนออกเป็นเจนเนอเรชั่นแล้วเหมารวมว่าทุกคนในเจนเนอเรอชั่นนั้นเหมือนกันได้ แต่ค่านิยมที่แต่ละยุคสมัยยึดถือนั้นเปลี่ยนไปตามสังคมที่เป็นพลวัตร และพลวัตรที่ว่านั้นก็ขับเคลื่อนด้วยคน นั่นส่งผลต่อวัฒนธรรมองค์กร การเสพสื่อ และวิถีชีวิต การก้าวเข้ามาของเจนซีที่เคยเป็นภัยคุกคามกลับกลายมาเป็นค่านิยมหลักของสังคมในหลายพื้นที่ ทั้งในเชิงการงานอาชีพและวิถีชีวิต ทุกวันนี้เราชินกับการดู Tiktok ดาราและผู้บริหารรวยล้ำฟ้าที่เมื่อก่อนไม่เคยเห็นหน้า ความเป็นกันเองและ ‘ไม่ซีเรียส’ กลายเป็นค่านิยมใหม่ในการทำงาน การตลาด และแม้กระทั่งการคบหาเพื่อน แม้วันนี้วิถีเจนซียังไม่ถูกใจใครนักแต่เราก็ได้โอบรับวัฒนธรรมใหม่ ๆ เข้ามา นอกจากนี้ผู้เชียวชาญจาก The Economist ให้เหตุผลเพิ่มเติมว่าเจนซีเข้ามาสู่โลกงานทำงานอย่างไม่มี know how ที่เพียงพอ เพราะเป็นยุคที่คนเก่าลา คนใหม่มา ไม่มีใครอยู่นานพอจะเป็นซีเนียร์ จะมีก็เป็นรุ่นพี่ที่อายุมากกว่าเกือบ 20 ปีที่ต่อกันไม่ติด พูดคนละภาษา และต่างฝ่ายต่างมองว่าอีกคนไม่มี ‘common sense’ หรือสามัญสำนึกขั้นพื้นฐาน แต่อย่าลืมว่าสามัญสำนึกขั้นพื้นฐานย่อมต่างกันไปในแต่ละสังคม แต่ละยุค ความ ‘common’ ของคนเจนซีที่โตมากับการประชุมออนไลน์เป็นหลัก อาจมองว่าการประชุมออนไลน์คือเรื่องปกติพื้นฐาน เป็นค่า default ในขณะที่รุ่นพี่ว่ามองจะคุยงานก็ควรได้มองหน้ามองตา ได้เรียกหาแล้วตอบทันทีไม่ต้องมัวรอรับสายหรือตอบอีเมล์ ที่สุดแล้วเรื่องนี้คงไม่มีข้อควรปฏิบัติเรียงข้อว่าการทำงานร่วมกันของคนต่างวัยต้องทำแบบไหนถึงจะเวิร์ค แต่ที่แน่ ๆ การยอมรับความต่างและปรับตัวร่วมกันอย่างไม่อคติคงจะเป็นวิธีที่ได้ผลที่สุด

#GenerationZ #GenZ #CoperateLife #OfficeLife

Content by Kantamas P.

Graphic by Frogman

อ้างอิง

AMP:https://bit.ly/49tFJeH

BBC: https://bit.ly/3D5tcC6

Economist: https://bit.ly/3VwnBuR

Forbes: https://bit.ly/49DZMHq, https://bit.ly/3OW9Dyt

The Guardian: https://bit.ly/3ZwVNHJ

Times of India: https://bit.ly/3Vwnqjb

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl