“ถ้าระเบิดลงสีลมสักตู้มนึง กะเทยอาจจะหายไปสัก 40% แล้ว ที่เหลือก็อาจจะอยู่พัทยา แล้วก็ภูเก็ตอีกหน่อย”
ขณะที่ฝนตกจนน้ำขังนองในสีลมซอย 4 ทีมงาน Spectrum มีนัดกับคุณพงศ์ พงศธร อาชวพงศกร Presiden of Mr. Bear Organization หน่วยงานเกย์หมีมีชื่อแห่งประเทศไทย เพื่อคุยเกี่ยวกับถนนเก ๆ อย่างสีลม ที่เราเคยเกริ่นกับคุณพงศ์ว่าขอคุยด้วยหน่อยในฐานะคนที่อยู่กับสีลมมาตั้งแต่วัยรุ่น ตั้งแต่สมัยเริ่มเที่ยวจนถึงตอนนี้ที่เที่ยวจนเชี่ยวชาญ
“ต้องบอกว่าสีลมเป็นย่านที่ยังยืนยงอยู่ระยะยาวมามากกว่า เพราะว่าสมัยก่อนที่มันถูกจริตเรา ที่อตก.อยู่ตรงจตุจักรมันก็ปิดตัวลง แต่ที่สีลมเนี่ยเปิดมายังไงตั้งแต่ 30 ปีก่อนก็ยังเปิดมาจนถึงปัจจุบันวัยก็เกี่ยวข้องด้วยแหละ เพราะเรารู้สึกว่าในวัยนักศึกษาเราก็จะเที่ยวอีกแบบหนึ่ง แต่พอเป็นสีลมเนี่ยเราต้องการเที่ยวที่แบบไม่ได้กินระยะเวลานานมาก”
คุณเพงศ์เล่าว่าสีลมมีวัฒนธรรมการเที่ยวไม่เหมือนแหล่งที่เที่ยวอื่น ๆ นอกจากจะเน้นการเที่ยวแบบ bar hopping ที่ไปร้านนู้นทีร้านนั้นทีแล้ว สีลมยังเป็นแหล่งเที่ยวอายุเฉลี่ยของคนเที่ยวมากกว่าที่อื่น เพราะส่วนมากก็เป็นพนักงานออฟฟิศในย่านนี้บ้าง และยิ่งกว่านั้นคือคนเที่ยวที่นี่ส่วนใหญ่คือคนเพศหลากหลาย กลุ่มคนที่เราคุยกันว่ามี ‘จังหวะชีวิต’ ไม่เหมือนสเตรท ตามทฤษฎี Queer Temporalities ที่ว่าด้วยแนวคิดว่าจังหวะชีวิตของคนเพศหลากหลายต่างจากคนเพศตามขนบ เพราะกว่าจะค้นหา ยอมรับตัวเอง กว่าจะกล้าใช้ชีวิตแบบที่อยากใช้ก็ใช้เวลาไปมากโข
“เราก็เห็นคนอายุ 50 เที่ยวอยู่นะ คือจากประสบการณ์และเพื่อนเล่ามา ถ้าเราไปผับสหคือ 30 ก็อาจจะเริ่มแก่แล้ว เด็ก ๆ ก็จะบอกว่าคุณลุงรึเปล่าเนี่ย แต่ 30 สำหรับเกย์ ยิ่งเกย์หมีเนี่ยคือแบบ baby มาก แล้วยิ่งแก่จะยิ่งฮอต มันยังเที่ยวได้สบาย”
และที่สีลมเราก็เจอคนหน้าคุ้นกันบ่อย ๆ ทีมงานยังเล่ากันขำ ๆ ว่ามีหลายครั้งที่เราเจอคนที่เราไม่รู้จักกันส่วนตัว แต่เรารู้หน้า และเคยเจอกันตามซอย 2 และซอย 4 ทุกครั้งที่เจอหน้ากันก็ยิ้มทักทายบ้าง ชนแก้วบ้าง แม้ไม่เคยพูดคุยจริงจัง และไม่รู้จักชื่อกันเสียด้วยซ้ำ คุณพงศ์เล่าต่อว่านี่แหละเป็นหนึ่งในเรื่องราวแบบสีลม ๆ ที่นอกจากจะไปเจอเพื่อนที่นัดบ้าง ไม่ได้นัดบ้างแล้ว ก็ยังไปเจอคนแปลกหน้าที่หน้าคุ้นเสมอ
“คือเขาเรียกกันว่ากะเทยรวมตัวกันโดยไม่ได้นัดหมาย คือมันจะมีเหมือนนอร์มบางอย่างเช่น ถ้าเรารู้แล้วว่าวันนี้เป็นวันหยุดยาวที่ไม่ใช่วันพระ สมัยก่อนที่กฎหมายขายเหล้ายังไม่ผ่านนะครับ เราจะรู้กันเลยว่าเราจะเจอกันที่เสม็ด โดยที่เราไม่ต้องนัดกันเลย ก็จะมีสถานที่ หรือถ้าสมมติเรารู้กันแล้วว่า ถ้าวันพฤหัสนี้เป็นวันหยุด วันถัดไปเป็นวันหยุดอะไรอย่างงี้ เราเจอกับเพื่อนแน่นอนที่นั่น
บางคนเห็นหน้ากันมา 8-9 ปี แต่เราไม่รู้จักชื่อกันเลยนะ แต่รู้กันว่าไอ้นี่เพื่อนรุ่นเดียวกันที่สีลมเที่ยวกันมาตั้งนานแล้ว แล้วทุกวันนี้ทุกคนก็เริ่มไปเปิดร้านของตัวเองกันแล้ว”
แต่ก่อนที่คนเก ๆ จะมีพื้นที่ของเราเอง เราเคยต้องแอบ ๆ ซ่อน ๆ ตามผับสห (ที่แปลว่าที่เที่ยวแบบชายจริงหญิงแท้รวมกัน) ที่มีช่วงเวลาสับสนว่าเอ๊ะ โต๊ะนี้มองเราเพราะสนใจจีบ หรือมองเพราะว่าอยากตีไอ้พวกเก ซึ่งแม้เราพยายามคุยกันในชุมชนให้ติดตลกแต่เรารู้กันดีว่าเมื่อครั้งยังไม่มีพื้นที่ปลอดภัยเป็นของตัวเองความเสี่ยงในการจีบผิดคนที่นำไปสู่ความรุนแรงเคยเป็นเรื่อง ‘ไม่น่าแปลกใจ’ หลายครั้งในวงเหล้าเรื่องตลกจากพี่น้องชาวเราก็จะมีเรื่องที่เราโดนทำร้าายหรือโดนมองแรงจากความเข้าใจผิด และนี่แหละจึงเป็นเหตุผลที่สีลมเป็นพื้นที่ที่เราเที่ยงได้ เล็งกันได้ และคาดหวังได้ว่าจะเจอกับอะไรเมื่อไปถูกที่ถูกบาร์
“เราควรจะมีพื้นที่ของกันและกัน มีบาร์เฉพาะกลุ่ม เพราะเวลาเที่ยวเราก็อยากไปแอ๊วคนหรือไปทำความรู้จักคน จะเป็นเลสเบี้ยนบาร์หรือเป็นเกย์บาร์ก็แฮปปี้นะ หรือเป็น bear bar ยิ่งสำคัญเลย เพราะพื้นที่การเป็น bear bar มันแบบต้องบอกก่อนว่าต่อให้เป็นเกย์ในสเปกตรัมเดียวกัน”
แต่ถึงแม้เราจะเน้นคุยกันเรื่องเที่ยว ๆ เพราะบรรยากาศพาไป แต่ก็ยังไม่วายกลับมาขอบอกขอบใจและบอกรักสีลมอีกครั้งว่าช่างเป็นถนนที่เต็มไปด้วยความหลากหลาย ชาติ ศาสนา วัฒนธรรม และความหลากหลายนี้แหละที่เปิดให้อีกความต่างแบบเก ๆ ได้มีพื้นที่เข้ามา
“LGBTQ+ มันก็อาจจะมาพร้อมกับวัฒนธรรมของชาวต่างชาติที่เข้ามา แล้วก็ในเมื่อมีชาวต่างชาติเข้ามาเยอะ แล้วยิ่งเป็นชาวต่างชาติที่พอไม่ได้อยู่ประเทศตัวเองแล้วก็สามารถปลดปล่อยได้ นี่ก็เลยเป็นแหล่งที่ท่องเที่ยวของสีลม แล้ว first gay club, disco club ก็เกิดขึ้นที่นี่ แรก ๆ เลยคือร้าน Telephone Club เป็นร้านเล็ก ๆ ที่นั่งคุยกัน แต่ละโต๊ะก็จะมีโทรศัพท์ตั้งอยู่ ถ้าเราอยากคุยกับผู้ชายโต๊ะนั้นเราก็โทรไปปุ๊บ กดเบอร์ 04 ปุ๊บ ยกหูแล้วก็คุยกัน มันก็เลยเป็นฟีล Tinder สมัยก่อน มันก็เริ่มพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ มันเริ่มจากซอยสี่ แล้วมันก็ค่อย ๆ พัฒนามาจนถึงซอยสอง จนตอนนี้สีลมซอยสองเป็น gay station”
เรียกได้ว่าสีลมนี่แหละที่เป็นบ้านเกิด ก่อกำเนิดความหลากหลายของไทยนับตั้งแต่การเปิดตัวของ Telephone Club ที่เปิดมาตั้งแต่ปี 1987 ถนนเส้นนี้ยังเป็นถนนที่จัด Bangkok Pride ครั้งแรกในประเทศไทย โดยจัดขึ้นในเย็นวันฮาโลวีนของปี 1999 ในชื่อ ‘Bangkok Gay Festival 1999’ ซึ่งเป็นยุคเดียวกับที่ชาวเกย์ถูกเรียกขานในหลากหลายชื่อ ทั้งดอกไม้พลาสติก , สาวประเภทสอง , ผู้ชายนะยะ และเป็นยุคเดียวกับการปล่อยเพลง ‘ประเทือง’ เป็นครั้งแรก จนถึงวันนี้ สีลมยังคงเป็นหนึ่งในพื้นที่ที่ถูกจดจำอย่างกว้างขวางในฐานะ ‘พื้นที่ปลอดภัย’ สำหรับกลุ่ม LGBTQ+ และเป็นจุดหมายปลายทางของคนเพศหลากหลาย แต่ถึงอย่างนั้นเศรษฐกิจในย่านนี้ก็เริ่มซบเซา
“ถ้าเรามองเป็นกราฟเราจะเห็นเลยว่านักท่องเที่ยวเอย การเติบโตเอยมันลงไปเยอะมาก คนเที่ยวลดลงเพราะว่าคนเที่ยวเริ่มกระจายตัวกันมากขึ้น เราเลยตัดสินใจว่าเราก็ต้องมีพาเหรดกลับมาที่สีลมก็เลยเป็นเหตุผลที่ทำพาเหรดในช่วงสงกรานต์ที่สีลม มันเป็นขบวน wet parade หรือ LGBTQ+ wet parade”
สีลมยังคงยืดหยัดและเต็มไปด้วยสีสีน สองฝั่งซีกถนนยังเต็มไปด้วยความหลากหลาย ซ้ายเป็นสำนักงาน ซีกถนนฝั่งขวาเป็นสถานบันเทิง เป็นถนนเส้นที่ไม่มีวันหลับไหล คุณพงศ์เปรียบคนเพศหลากหลายเป็นเหมือนลมที่พัดผ่านสีลม พัดพาเมือง พัดพาเศรษฐกิจให้เติบโต
“คนทำงานที่สีลมไม่ใช่คนทำงานที่อยู่ห้างอย่างเดียวอ่ะ คือสีลมเต็มไปด้วยความแตกต่างที่มาอยู่ร่วมกัน สำนักงานที่สีลมแพงมาก แต่ขณะเดียวกันก็ยังมีคนที่หาเช้ากินค่ำ หาค่ำกินเช้า กลางคืนยังออกมาเป็นนางโชว์ เป็นเด็กเสิร์ฟเป็นแม่ค้าขายไก่ทอด ยังเป็นพนักงานรับรถ เราใช้ชีวิตกันอยู่ที่นี่ สีลมเลยเป็นที่ที่เรารู้สึกว่าถ้าจะต้องพูดถึงคนที่ยืนอยู่ที่สีลมจริง ๆ มันหลากหลายมาก”
#SafeSpace #QueerSpace #Silom #SilomRoad
Content by Kantamas P., Pitchaya S.
Graphic by Frogman
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”