Spectrum

#Spectroscope: ขออภัยที่เป็นไบชั่ว – การถูกลบตัวตนและที่ทางล่องหนของคนเป็นไบ อัตลักษณ์ที่ต้องพิสูจน์ตลอดไปว่ายังเป็นเก

3 นาที

4

Share to

มิถุนายน 11, 2025

3 นาที

4

มิถุนายน 11, 2025

Share to

ว่ากันว่า Pride Month ปีนี้ช่างน่าหดหู่ใจ เพราะ Jojo Siwa เดตผู้ชาย จนมีคนออกมากล่าวอย่างช้ำใจว่าพี่สาวสเตร๊ทซาบริน่า คาร์เพนเตอร์ยังดูเกลียดผู้ชายมากกว่า ไหนจะบิลลี่ อายลิชที่สาว ๆ เพิ่งฮือฮาไปหลังออกเพลง Lunch ที่ว่าด้วยการ “eat that girl for lunch” ก็มีรูปจุ๊บผู้ชายที่เธอกำลังมีข่าวว่าเดต และที่เลสเบี้ยนเจ็บใจกันล้น fyp ก็หนีไม่พ้นข่าวว่า FLETCHER กำลังเดตผู้ชายหลังเธอปล่อยเพลงที่ท่อนนึงร้องว่า “I had no choice, I kissed a boy”

แต่ทำไมการที่นักร้องที่เปิดตัวว่าเป็นเควียร์หรือไบหรือแพนเปิดตัวว่าเดตเพศตรงข้ามถึงกลายเป็นเรื่องเศร้า และดูเหมือนว่าผิดร้ายแรงหนักหนา ขนาดที่เพลง Boy ของ FLETCHER ฟังราวกับว่าเป็นจดหมายขออภัยคอมมิวนิตี้ หรือแก๊สไลท์ก็ไม่รู้ เอาเหอะ

หรือว่าจริง ๆ แล้วที่ทางของไบใน LGBTQ+ มันยังเลือนลางล่องหน หรือว่าคนเป็นไบยังต้องเวียนวนคัมเอาท์อยู่เรื่อยไป

#Spectroscope: ขออภัยที่เป็นไบชั่ว – การถูกลบตัวตนและที่ทางล่องหนของคนเป็นไบ อัตลักษณ์ที่ต้องพิสูจน์ตลอดไปว่ายังเป็นเก

“ไบชั่ว” หรือ Bisexual เป็นศัพท์อินเตอร์เน็ตที่สันนิษฐานว่าเกิดมาจากพวกผีสาวร้างรัก ผู้ประสบภัยอกหักจากไบเซ็กชวลที่ไปตกหลุมรักเพศตรงข้ามเป็นคนต่อไป หลังจากที่รักปักใจกับเพศเดียวกันอยู่ชั่วขณะหนึ่ง แล้วถ้าอุตริเอา ‘ไบชั่ว’ ไปเสิร์ชในช่องค้นหา ณ ทวิตเตอร์ สาบานเลยจะพบพวกเบี้ยนแท้แชร์ประสบการณ์โดนไบชั่วเลิฟสแกมกันเป็นแถว

พวกไบชั่วมีจำนวนเท่าไรไม่อาจรู้ แต่ดูเหมือนว่าปากเสียงของไบเซ็กชวลจะไม่สำคัญสักเท่าไรในคอมมูนิตี้ของพวกคนรักเพศเดียวกัน อคติต่อไบชั่วจำพวก ไบเซ็กชวลไม่มีจริง, สุดท้ายก็กลับไปเป็นสเตรท ฮือ ๆ, ตั้งแต่คัมเอาท์เป็นไบชั่วมึงได้คั่วผู้สาวบ้างบ่, ไบชั่วฉลองไพรด์มันธ์ได้ครึ่งเดียวเท่านั้นแหละ, ไอพวกครึ่งเกครึ่งสเตร๊ท ฯลฯ จึงยังไหลวนอยู่ในคอมมูนิตี้และเป็นความคิดเห็นกระแสหลักที่ LGTQ+ มีต่อ B แบบไม่อายด้วยที่จะพูดว่าไบเซ็กชวล มันชั่วจริงจริ๊ง

#ไบที่แปลว่าไบแอส – อัตลักษณ์ที่ถูกตั้งคำถามอยู่อย่างนั้น

ไบแอสหรืออคติที่มีต่อไบเซ็กชวลมีอยู่ทุกที่ แต่ก็แตกต่างไปตามบริบทวัฒนธรรมและปฏิบัติการทางเพศของแต่ละคอมมูนิตี้ ในคอมมูนิตี้ชายรักชาย การเรียกตัวเองว่า ‘ไบเซ็กชวล’ อาจถูกเข้าใจไปได้ว่าเป็นเกย์นั่นแหละแต่ไม่ยอมรับ จริง ๆ ก็ชอบแต่ผู้ชายเท่านั้นแต่เรียกตัวเองว่าไบเซ็กชวลเพราะยอมรับตัวเองไม่ได้ ในขณะที่อคติต่อไบเซ็กชวลในชุมชนหญิงรักหญิง การเรียกตัวเองว่า ‘ไบเซ็กชวล’ คือการต้องแบ่งสัดส่วนเดตผู้หญิงสัก 80% ผู้ชายสัก 20% แบบนี้ถึงจะพอกล้อมแกล้มเป็นไบไปได้ และหากหักอกผู้หญิงไปคบกับผู้ชายเมื่อไรนั่นหมายความว่าเธอได้กลายเป็นไบชั่วผู้กลับใจเป็นสเตรททันที

อคติที่แตกต่างนั้นสะท้อนความกลัว (Phobia) และบาดแผล (Trauma) ลึก ๆ ของแต่ละคอมมูนิตี้เอาไว้ แต่สิ่งที่เหมือนกันคือไบเซ็กชวลถูกมองว่าเป็นอื่นเสมอ คอมมูนิตี้ชายรักชายไม่กลัวการคบกับผู้หญิง แต่กลัวการไม่ ‘ยอมรับตนเอง’ เสียมากกว่า แต่สำหรับคอมมูนิตี้หญิงรักหญิง การยอมรับตัวเองหรือไม่ไม่สำคัญเท่ากับว่าเธอชอบผู้หญิงจริง ๆ หรือไม่ และการ ‘กลับไปคบผู้ชาย’ นั้นก็อาจหมายถึงการทรยศชุมชนหญิงรักหญิง 

ในแง่หนึ่ง การนิยามตนเป็นไบเซ็กชวลอาจเคยเป็นและยังเป็นพื้นที่ปลอดภัยให้กับการค้นหาตัวเอง เป็นความลื่นไหลที่อาจเปลี่ยนแปลงได้เมื่อพบเจออัตลักษณ์ใหม่ แต่ความจริงก็คือไบเซ็กชวลเป็นอัตลักษณ์หนึ่งที่จริงจังและมีศักดิ์ศรีแบบที่ตัวอักษรอื่น ๆ มี ไบเซ็กชวลไม่ใช่แค่ ‘กระบวนการ’ ไม่ใช่ถนนสู่การเป็นเกย์เต็มตัว บนเส้นทางแห่งความลื่นไหลทางเพศที่ไม่ได้เป็นเส้นตรง การคบกับคนเพศตรงข้ามก็ไม่ได้แปลว่ากลับใจ และไบเซ็กชวลก็ไม่ได้ติดค้างใครในการพิสูจน์ตัวเองสักนิด

#ไบแท้แท้ที่อะไร – ไม่เคยเคตคนเพศเดียวกันเลยแล้วยังใช่ไบหรือเปล่า?

ไบเซ็กชวลไม่ได้ติดค้างใครในการพิสูจน์ตัวเองกับใคร แต่มีคำถามมากมายให้คอยตอบตล๊อด และหนึ่งคำถามสำคัญเพื่อตัดสินตำแหน่งไบเซ็กชวลคือ เออ แล้วเธอเดตคนเพศเดียวกันครั้งสุดท้ายเมื่อไรล่ะ คำถามที่พยายามปิดคำถามในใจจริง ๆ ว่าแล้วเธอเคยเดตคนอย่างไรก็ตาม คอมมูเลสเบี้ยนและเกย์แมนบอกว่าไม่ได้รังเกียจไบ คำถามเหล่านี้เป็นไปเพื่อหาประสบการณ์เจ็บปวดร่วมว่าการเป็นส่วนหนึ่งกับชุมชน LGBT ของไบคนนี้เคยผ่านความกลัวว่าจะถูกตัดสิน ถูกทำร้าย หรือถูกกีดกันเพราะรักคนเพศเดียวกันหรือเปล่า เพราะหากเป็นอีกคนที่ straight passing ก็อาจไม่มีอะไรให้คุยกันมากนัก เราอยู่ในชุมชนเดียวกัน you can sit with us แต่ช่วยนั่งเงียบ ๆ

แล้วทำไมไบบางคนไม่เคยเดตคนเพศเดียวกัน? ทำไมถึงบอกว่าเป็นไบแล้วก็ต่อสู้อยู่อย่างนั้นเพื่อรักษาอัตลักษณ์ที่ดูเหมือนจะไม่ได้ใช้ (?) เรื่องคือการเดตคนเพศเดียวกันในสังคมที่ความสัมพันธ์แบบคู่ตรงข้ามเป็นกระแสหลักไม่เคยง่าย ซึ่งแน่นอนว่าคนเป็นเลสแท้และเกย์ดาวทองทราบอยู่แล้ว แต่สำหรับคนเป็นไบที่อาจจะสลับไปสลับมาระหว่างการเดตคนเพศนู้นนี้ การวางตำแหน่งแห่งที่ในความสัมพันธ์เป็นเรื่องยากเสมอ จนทำให้ประสบการณ์ร่วมหนึ่งของไบเซ็กชวลคือ ‘การเป็นคนรักต่างเพศภาคบังคับ’ หรือ  Compulsory Heterosexuality (Comphet) ที่ใช้อธิบายว่าคนรักเพศเดียวกันถึงยังต้องมีความสัมพันธ์ หรืออาจถึงขั้นแต่งงานกับคนเพศตรงข้ามเพราะความสัมพันธ์ของ หญิง-ชาย ถูกกำหนดให้เป็นความปกติในสังคม แม้บริบทสังคมปัจจุบันที่ความหลากหลายทางเพศมีพื้นที่มากขึ้น แต่ Comphet ยังคงเป็น ‘ทางออก’ ของคนเพศหลากหลายในความสัมพันธ์ที่เปราะบาง เช่น คนที่ครอบครัวไม่เข้าใจ มีข้อจำกัดทางศาสนา หรือแม้กระทั่งในไบเซ็กชวลที่มองหาแนวทาง หลักการ หรือพื้นที่ที่หายใจได้คล่องปลอด เพื่อจะไม่ต้องไปผจญกับสารพันคำถามวุ่นวายใจว่า ใครจ่ายในเดตแรก ใครเป็นคนเปิดประตูให้ ฯลฯ เรื่องง่าย ๆ ที่เกเลือดบริสุทธิ์เข้าใจมานาน แต่ไบยังต้องล่อกแล่กทุกครั้งเพราะอยากเป็นไบที่ถูกต้อง แต่ก็เพราะว่าไบเลือก ‘ทางที่ง่ายกว่า’ ได้นี่แหละที่ทำให้ถูกกีดกันอยู่เสมอเพราะคิดว่าชีวิตไบง่ายกว่า เมื่อไหร่ที่มันยากเกินไป การกลับไปเข้าสังคมกับสเตรทกระแสหลักก็ทำได้

สุดท้ายแล้วเรื่องนี้ก็วนเวียนเป็นวังวน เมื่อการเป็นไบในคู่รักเพศเดียวกันมันยาก ก็กลับไปเดตคนเพศตรงข้ามดีกว่า และเมื่อกลับไปเดตคนเพศตรงข้าม การกลับมาทวงอัตลักษณ์ไบที่ยังชอบคนเพศเดียวกันก็ทำได้ยากขึ้น ไม่น่าแปลกใจที่สุดท้ายไบเซ็กชวลผู้หญิงหลายคนตัดสินใจคบคนผู้ชายไปซะ แต่ขอรีเช็คว่าแฟนหนุ่มเป็นพันธมิตรกับคนเพศหลากหลาย และไบเซ็กชวลหนุ่มก็เมคชัวร์แฟนสาวสบายใจที่ตัวเคยคบผู้ชายมาก่อน การมีแฟนเป็น ally เลยกลายเป็นที่ทางของชาวไบ(ชั่ว)

Content by Editorial Team

Graphic by Kasidit Taranabhaiboon

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl