“ไม่ใช่ว่าเราไม่อยากเรียน แต่ไม่มีโอกาสได้เลือกต่างหาก”
‘DEK68’ เป็นคอมมูนิตี้ในเอ็กซ์ ที่ตั้งขึ้นเพื่อให้เด็กนักเรียนมัธยมที่กำลังก้าวเข้าสู่มหาวิทยาลัยในรุ่นปี 2568 ได้เข้ามาแลกเปลี่ยนข้อมูลต่าง ๆ ตั้งแต่การเตรียมตัวจนสอบติด เทคนิคอ่านหนังสือ หรือแม้กระทั่งวิธีต่อรองกับผู้ปกครองให้ได้สอบในคณะที่ต้องการ กลายเป็นพื้นที่ระบายหลังการประกาศผล TCAS ทั้ง 4 รอบได้จบลง มีนักเรียนหลายคนเข้ามาเล่าเรื่องราวของตนเอง ทั้งดีใจ เสียใจ ผิดหวัง บทสนทนาในคอมมูนิตี้สะท้อนให้เห็นว่าเยาวชนไทยจำนวนมากกำลังแบกรับความกดดันไว้ บางคนทนต่อไป และหลายคนต้องหลุดหายไปจากระบบการศึกษา
อะไรที่ทำให้เยาวชนไทยผู้กำลังกลายเป็นคนขับเคลื่อนประเทศชาติตามที่ผู้ใหญ่วาดหวังไว้ ต้องสร้างพื้นที่ รวมตัวกันระบายความอัดอั้นตั้นใจ จริงไหมที่ทุกคนมีโอกาสเท่ากันในสนามแข่งขันเพื่ออนาคต
#Spectroscope : คอมมูนิตี้ ‘DEK68’ พื้นที่สะท้อนชีวิตจริงของนักเรียนไทยในวันที่การศึกษามีแต่ความเหลื่อมล้ำ
ทุก ๆ ปีมีเด็กหลุดจากการศึกษาไทยเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกปีในช่วงประกาศผลมหาวิทยาลัย คือภาพของนักเรียนมัธยมหลายคนที่ไม่สามารถเรียนต่อได้ หรือไม่อาจเลือกเรียนในคณะที่ฝันไว้ ไม่ใช่เพราะขาดความสามารถ แต่เพราะขาด ‘โอกาส’ ตั้งแต่ปี 2019 ถึง 2024 ในประเทศไทยพบเด็กและเยาวชนอายุตั้งแต่ 3 – 18 ปี กว่า 1.02 ล้านคน หลุดจากระบบการการศึกษาไทย และปัจจุบันยังมีอีก 2.8 ล้านคน ที่กำลังตกอยู่ในภาวะเสี่ยงที่จะหลุดออกจากการศึกษาเช่นกัน ซึ่งสาเหตุก็มาจากปัจจัยหลายด้านที่ทำให้เด็กเหล่านี้ถูกบีบออกจากการศึกษาที่ควรเข้าถึงได้สำหรับทุกคน แต่กลับกลายเป็น ‘โอกาสที่มีไว้สำหรับบางคน’
แม้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย มาตรา 54 จะระบุไว้อย่างชัดเจนว่ารัฐต้องจัดการศึกษาให้ประชาชนโดยไม่เก็บค่าใช้จ่ายไม่น้อยกว่า 12 ปี และคำสั่ง คสช. ในปี 2016 ยังได้ขยายสิทธิให้เด็กไทยได้เรียนฟรีรวมทั้งสิ้น 15 ปี แต่ในความเป็นจริง นโยบายนี้ยังไม่สามารถขจัดปัญหาความเหลื่อมล้ำทางการศึกษาได้อย่างแท้จริง เพราะการเป็น ‘นักเรียน’ หนึ่งคน มีต้นทุนที่มากกว่าแค่ค่าเทอม
เรามักจะเห็นเรื่องราวของนักเรียนที่มีปัญหากับระบบการศึกษาไทยอยู่บ่อยครั้ง และคอมมูนิตี้ DEK68 ที่เราได้สำรวจก็ถือเป็นหนึ่งในพื้นที่ออนไลน์ที่สะท้อนชีวิตของนักเรียนไทยได้ชัดเจนที่สุดในขณะนี้ ซึ่งยิ่งพบความจริงที่ว่าเด็กไทยไม่ได้แข่งขันแค่กับข้อสอบ แต่ต้องต่อสู้กับความคาดหวังที่สูงขึ้นทุกวันทั้งจากครอบครัว สังคม และตัวเอง ผลสำรวจจากกสศ. หรือกองทุนเพื่อความเสมอภาคทางการศึกษา เคยระบุไว้ว่า ‘ความยากจน’ คือสาเหตุหลักที่ทำให้เด็กไทยจำนวนมากต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา นอกจากนี้ยังมีปัญหาแรงกดดันจากครอบครัว ระบบการศึกษาที่เน้นการวัดผลทางสถิติมากกว่าการเรียนรู้ รวมถึงภาวะทางจิตใจที่ไม่ได้รับการดูแลอย่างเพียงพอ ทุกปี เราจึงเห็นภาพซ้ำเดิมในช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัย ที่สะท้อนให้เห็นว่ายังมีเด็กไทยที่เป็นทุกข์และต้องหลุดออกจากระบบการศึกษา
#ราคาของความฝัน – ที่บางคนไม่มีจ่าย
“ค่าเทอมคณะที่อยากเรียนมันแพงเกินไป”
“ส่วนตัวแม่ไม่อยากให้เรียนเพราะเปลืองเงินแค่นั้นเลยครับ”
“ไหนจะค่าเทอม ไหนจะค่าหอ แล้วยังมีค่ากินอยู่อีก พ่อแม่จ่ายไม่ไหวก็เลยต้องสละสิทธิ์ เขาบอกให้มาช่วยทำงานหาเงินดีกว่าค่ะ”
‘ความยากจน’ เป็นหนึ่งในปัญหาที่พบมากที่สุดจากบทสนทนาในคอมมูนิตี้ Dek68 สะท้อนว่าค่าใช้จ่ายของนักเรียนไม่ได้มีแค่เพียงค่าเทอม ในขณะที่ภาวะเศรษฐกิจของประเทศ อัตราการว่างงานสูง และรายได้ของครอบครัวส่วนใหญ่ก็แทบไม่พอใช้ การจะส่งลูกเรียนให้จบล้วนต้องแลกด้วยทั้งแรงกาย แรงใจ และเงินทุนจำนวนมาก บางครอบครัวที่อาจจะไม่ได้มีกำลังจ่ายตลอดเส้นทางของชีวิตนักเรียน เลยมองว่าการศึกษาไม่จำเป็นต้องเรียนให้สูง ไม่จำเป็นต้องเรียนให้ครบทุกปี นักเรียนหลายคนจึงต้องยอมออกมาจากระบบการศึกษา
หลายคนบอกว่าตัวเองไม่มีทางเลือก แม้จะพยายามทำงานพาร์ทไทม์เพื่อแบ่งเบาภาระครอบครัว แต่รายได้เพียงเล็กน้อยก็ไม่อาจครอบคลุมรายจ่ายทั้งหมด บางคนพยายามหาทุน หรือคิดจะกู้เงินเพื่อเรียนต่อ แต่สุดท้ายก็ติดกับดักของหนี้สินที่ครอบครัวไม่สามารถแบกรับได้ หรือเพราะ “ความฝันของตัวเองต้องใช้ต้นทุนสูงเกินไป” จึงต้องยอมเก็บความฝันไว้กลางทาง ยอมเรียนในสิ่งที่เอื้อมถึง เพราะถ้าไม่ยอมเรียนในสิ่งที่ค่าใช้จ่ายน้อยกว่าคณะในฝันที่ตัวเองอยากเรียน ส่วนใหญ่ก็มักเลือกเดินออกจากเส้นทางมหาลัย เพื่อไปทำงาน หาเลี้ยงชีพ หรืออย่างน้อยก็เพื่อให้ตัวเองและครอบครัวอยู่รอด
#ความหวังดีของพ่อแม่ – กลายเป็นความคาดหวังที่ลูกต้องแบกไว้
“ถ้าการที่หนูจะเลือกสิ่งดี ๆ ให้ครอบครัวมันผิดมาก เดี๋ยวหนูหาเงินเรียนเองก็ได้”
“เวลาลูกสอบไม่ติด thai parents be like : ทำไมทำได้แค่นี้”
“พ่อเคยบอกเราว่า เลือกเรียนคณะนี้เองอย่ามาบ่นเหนื่อยให้ฟังแล้วกัน”
ค่านิยมของครอบครัวไทยจำนวนไม่น้อย ยังฝังรากลึกกับความเชื่อว่า ‘ลูกเกิดมาเพื่อต้องดูแลพ่อแม่ยามแก่เฒ่า’ ความคาดหวังจึงไม่ได้หยุดอยู่แค่การเลี้ยงดู แต่ลามไปถึงการกำหนดเส้นทางชีวิตให้ลูก ตั้งแต่เล็กจนโต โดยเฉพาะในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่ออย่างการเลือกเข้ามหาวิทยาลัย หากดูจากโซเชียลไม่ว่าจะผ่านการสอบเข้ามหาลัยอีกกี่ปี ก็มักจะมีเด็กหลายคนออกเล่าเสมอว่า เมื่อถึงเวลาต้องตัดสินใจเลือกคณะหรือสาขาวิชาที่อยากเรียน สิ่งแรกที่เจอกลับเป็นการเผชิญหน้ากับความคาดหวังของพ่อแม่ที่อยากให้ลูกเรียนในสิ่งที่พวกเขาเชื่อว่าดีที่สุด บ้างอยากให้เป็นหมอ วิศวกร หรือรับราชการ เพราะเห็นว่าเป็นอาชีพมั่นคง บ้างก็อยากให้เรียนตามสายที่ครอบครัวเตรียมไว้ให้ ทั้งที่ใจไม่เคยต้องการ บางคนจึงต้องยอมกัดฟันเรียนในสิ่งที่ไม่ชอบ เพราะไม่อยากขัดใจ บางคนเลือกจะสู้เพื่อความฝันของตัวเอง แม้จะต้องเผชิญกับความผิดหวังหรือความร้าวรานในครอบครัวก็ตาม และด้วยวัยรุ่นยังต้องพึ่งพาพ่อแม่ทั้งค่าใช้จ่ายและที่อยู่อาศัย ความขัดแย้งจึงเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ หลายคนต้องอยู่ภายใต้หลังคาเดียวกัน แต่ไม่อาจพูดคุยกันได้ด้วยความเข้าใจ เพราะแค่พวกเขาไม่ทำตามที่พ่อแม่หวังก็กลายเป็นความผิดทันที ปัญหาที่ตามมาก็คือสภาพจิตใจของเด็ก ที่บางครั้งก็เป็นสาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องหลุดออกจากการศึกษากลางทาง
#เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน – แต่โอกาสไปต่อเท่ากันแน่ไหม
ประโยคที่ฟังดูเข้าใจง่าย แต่ในความจริงประโยคนั้น ‘ไม่มีอยู่จริง’ ตั้งแต่ยังเล็ก เด็กไทยเติบโตมากับระบบที่บีบให้ต้องแข่งขันกันตั้งแต่อนุบาล ไปจนถึงมหาวิทยาลัย ทุกคนต้องดิ้นรนเพื่อแย่งชิงที่นั่ง ในระบบการศึกษาที่ตีกรอบชัดเจนว่าคณะไหนดี มหาวิทยาลัยไหนเด่น ช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยคือช่วงที่เรื่องนี้ปรากฏชัดที่สุด นักเรียนหลายคนต้องแลกทั้งเวลา สุขภาพ และตัวตนของตัวเองไปกับการอ่านหนังสือ ติวเข้ม เรียนพิเศษแบบไม่มีวันหยุด เรียกได้ว่าถ้าไม่เคยเจอกับตัวก็คงไม่เข้าใจคำว่า ‘อุทิศตนเอง’ เพื่อสอบเข้ามหาลัยให้ได้เป็นยังไง เพื่อหวังแค่จะสอบติดในคณะที่สังคมบอกว่าดี สำหรับบางคนคณะในฝันของตัวเองอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่อยากเรียนจริง ๆ แต่เป็นสิ่งที่ต้องเรียน เพราะคนบอกว่าดี ซึ่งทุกปีก็มีจำนวนไม่น้อยที่เมื่อรู้ผลสอบแล้วต้องเผชิญกับความผิดหวัง เพราะไม่สามารถสอบติดในมหาวิทยาลัยหรือคณะที่ตั้งใจไว้ จนต้องถอนตัวออกจากระบบการศึกษา เพราะพวกเขาถูกหล่อหลอมให้เชื่อว่าถ้าไม่เข้า ‘คณะนี้’ หรือ ‘มหาวิทยาลัยนั้น’ ชีวิตก็จะล้มเหลว
“ทั้งคณะแทบจะมาจากโรงเรียนเดียวกัน จบที่ไหนก็เหมือนกันกี่โมง”
“จากประสบการณ์นะ จบที่ไหนเหมือนกันไม่มีอยู่จริง”
เพราะสังคมไทยที่มองชื่อมหาลัย มองชื่อโรงเรียนเป็นหลัก เลยทำให้เกิดความคิดฝังรากลึกกันมานานว่าการเรียนจบสถาบันนี้ต้องดีกว่าที่อื่น ๆ แม้จะได้เกรดเอทุกวิชา แม้จะได้เกียรตินิยม แต่เมื่อจบมหาวิทยาลัยและก้าวเข้าสู่ชีวิตการทำงาน บางบริษัทที่กำหนดมหาวิทยาลัยในการสมัครงาน จะทำให้เห็นภาพมากยิ่งขึ้นว่าคำว่า ‘เรียนที่ไหนก็เหมือนกัน’ ไม่มีอยู่จริง
ในขณะที่ชีวิตของวัยรุ่นควรเป็นช่วงเวลาแห่งการค้นหาความฝัน แต่หลายคนกลับต้องใช้เวลาไปกับการเตรียมสอบ จนไม่มีแม้แต่โอกาสจะรู้ด้วยซ้ำว่า ตัวเองอยากเป็นอะไร ในฐานะของผู้เขียนที่เคยเผชิญกับคำว่า “ไม่รู้ว่าตนเองอยากเป็นอะไรกันแน่” มองไม่เห็นภาพว่าอีกห้าปีอีกสิบปีตัวเองกำลังทำอะไร และอยากเรียนอะไรมากที่สุด วันที่ต้องสอบเข้ามหาวิทยาลัยความคิดแรกมีแค่ว่าอยากจะนอนอยู่บ้านเฉย ๆ ซึ่งเมื่อตกตะกอนอย่างดี เหตุผลความคิดนั้นก็มาจากการศึกษาของไทยที่ไม่เคยให้เวลากับเรา เราเติบโตมาในระบบที่เร่งให้เราเดินตามแบบแผน โดยไม่เคยเปิดพื้นที่ให้เราได้หยุดพักหรือถามตัวเองอย่างจริงจังว่า “เราชอบอะไร” หรือ “อยากใช้ชีวิตแบบไหน” ทุกอย่างดูเร่งรีบเกินไป รีบโต รีบเลือก รีบตัดสินใจและรีบเดินต่อ จนสุดท้ายเราและเด็กอีกหลายคนก็เลยเดินไปโดยไม่รู้ด้วยซ้ำว่ากำลังมุ่งหน้าไปทางไหน ก็ไม่แปลกเลยที่สุดท้ายแล้วบางคนก็เลือกหลุดออกจากระบบการศึกษา เพราะพวกเขารู้สึกว่าไม่มีที่ยืน ไม่มีทางเลือก และไม่มีคำตอบให้ชีวิต
และสุดท้ายเมื่อชีวิตต้องเดินอยู่ท่ามกลางแรงกดดันจากทุกทิศทาง ทั้งจากเศรษฐกิจ ครอบครัว สังคม และระบบการศึกษาที่ไม่เปิดโอกาสให้เราได้รู้จักตัวเองอย่างแท้จริง เราที่ยังเป็นเด็กคนนั้นก็เลยต้องยอมถอยออกมาจากสิ่งที่อยากจะเรียนอย่างไม่มีทางเลือก คำพูดของวัยรุนหลายคนในโซเชียลจึงเป็นเสียงสะท้อนของหลาย ๆ คนที่กำลังเผชิญอยู่ในระบบที่ไม่เท่าเทียม พวกเขาไม่ได้หลุดจากการศึกษาเพราะไม่รักการเรียน แต่เพราะอุปสรรคที่มากมายเกินไป และระบบสนับสนุนที่ควรมีกลับไม่ได้โอบรับพวกเขาไว้อย่างที่ควร
#Dek68 #TGAT #TCAS68
Content by Pitchaya S.
Graphic by Kasidit Taranabhaiboon
อ้างอิง
dek68: https://bit.ly/4nb3z5s
theactive: https://bit.ly/45xbgfT
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น