สวัสดีเขียดผู้มีแกกทุกท่าน เอ้ย แขกผู้มีเกียรติ เอ้ย ถูกแล้ว! เนี่ยไอ้เรามันก็เป็นคนตะหลุก เอ้ยตลกซะด้วย บางคนเลยชอบหาว่าเราไม่จริงจัง จะทำอะไรไปทางไหนก็ออกไปทางติดเล่นตลอด
แต่จะว่าก็ว่าเถอะ คุณเองก็อาจเป็นหนึ่งคนที่เคยยิ้มแก้มปริกับมุกอะไรก็ไม่รู้ มุกที่ดูตลกแบบแปลก ๆ แต่นึกถึงทีไรก็ใจสั่นทุกที คิดเหมือนกันไหมว่าเจ้าพวกคนตลกมันช่างมีเสน่ห์เกินห้ามใจ และเราก็โดนตกซ้ำแล้วซ้ำเล่าจากคนตลกแบบนี้ นั่นเป็นเพราะอะไรกันนะ?
ทั้งบทสนทนาที่ชวนคุยต่อไปได้เรื่อย ๆ คนที่คุยด้วยเมื่อไรก็ไม่อึดอัด ลองสังเกตสิว่าคนที่เราชอบหรือสนิทด้วยส่วนใหญ่มีโอกาสสูง ที่พวกเขาจะเป็นคนสร้างสีสันให้กับเรา แถมความดึงดูดใจเหล่านี้ยิ่งทวีคูณขึ้นโดยมี ‘เสียงหัวเราะ’ ที่เป็นตัวการันตีว่านี่คือรูปธรรมของความสบายใจที่เกิดขึ้น
สิ่งนี้เรียกว่า ‘Sense of Humor’ ที่ทำให้เรารู้สึกเชื่อมโยงกับคนอื่นได้อย่างง่ายดาย และใครที่มีสิ่งนี้อยู่ในตัวนอกจากจะทำให้เป็นคนมีเสน่ห์ดึงดูดน่าต่อบทสนทนาด้วยแล้วนั้น ยังหมายรวมถึงการมีความฉลาดทางอารมณ์และทักษะทางสังคมอันดีเยี่ยม บทความนี้จึงอยากพาทุกท่านไปสำรวจว่า เพราะเหตุใดความอารมณ์ขันจึงสามารถสร้างสีสันให้กับคนรอบตัว องค์ประกอบของการสร้างเสน่ห์สุดแข็งแกร่งนี้คืออะไรบ้าง และขอบเขตของความ ‘ตลก’ อยู่ที่ตรงไหน เพื่อที่จะสามารถมัดใจทุกคนได้ทั้งกับคู่สนทนาและบุคคลอื่น ๆ รอบข้าง ราวกับที่ใครหลายคนมักพูดกันว่า “หล่อมักนก ตลกมักได้”
#Spectroscope: ทำไมเราถึงตกหลุมรัก คนตะหลุก เฮ้ย คนตลก เฮ้ย ถูกแล้ว แกะสารประกอบสร้างเสน่ห์สุดแข็งแกร่ง ที่ทำให้ทั้งหัวใจเต้นแรงและหัวเราะดัง ๆ
บทความ ‘A Sense of Humor – The Real Sixth Sense’ ได้ให้คำนิยามและอธิบายถึง ‘Sense of Humor’ ได้อย่างน่าสนใจว่า “ความตลกอารมณ์ขัน (humor) คือภาษาสากลที่มีพลังในการรวมผู้คนเข้าไว้ด้วยกัน ผ่านการสร้างความรู้สึกเข้าถึงกันอย่างเชื่อมต่อ นอกจากจะเป็นทักษะทางสังคมที่สำคัญแล้ว ยังอาจเรียกได้ว่าเป็น ‘สัมผัสที่ 6’ ของประสาทสัมผัสในร่างกายก็ได้” ซึ่งคำอธิบายนี้ยังสอดคล้องกับความหมายของคำเดียวกันที่ทาง Psychology Today ระบุไว้ว่า “อารมณ์ขันคือความสามารถที่ทั้งสามารถแสดงออกหรือรับรู้ได้เกี่ยวกับความตลก ซึ่งถือว่ามีบทบาทสำคัญในการสร้างความผูกพันทางสังคม การปลดปล่อยความตึงเครียด หรือกระทั่งการดึงดูดใครสักคนในความสัมพันธ์เชิงโรแมนติก”
ที่น่าสนใจคือ ‘การเป็นคนตลก’ อาจไม่สามารถเป็นได้ตั้งแต่กำเนิด เพราะคนตลกก็เป็นลักษณะของบุคลิกภาพรูปแบบหนึ่งที่ฝึกฝนกันได้ ซึ่งหากคุณอยากจะ ‘ตลก’ ในรูปแบบไหน ก็อาจขึ้นอยู่กับว่าคุณเสพอะไร เติบโตมาท่ามกลางสิ่งแวดล้อมและผู้คนแบบใด ยิ่งสั่งสมความอารมณ์ดีมาตั้งแต่เด็ก ๆ มากเท่าไร ยิ่งทำให้เรามีกระบุงความสร้างสรรค์มามากขึ้นเท่านั้น (ซึ่งคุณลักษณะดี ๆ เช่นนี้ไม่ใช่แค่ความตลก ยังรวมไปถึงการเป็นคนจิตใจดี น่ารักกับคนรอบข้าง ก็ทำให้มวลพลังงานดี ๆ เหล่านี้ตลบอบอวลอยู่รอบตัวอยู่เหมือนกัน) สิ่งเหล่านี้คือสารประกอบสำคัญที่ยิ่งสร้างเสน่ห์ให้คนรอบข้างหัวใจเต้นแรงและหัวเราะออกมาดัง ๆ อีกทั้งความตลกเองก็ยังมีความหลากหลาย และสิ่งนี้ถือเป็น ‘ทักษะเฉพาะตัว’ ที่เลียนแบบกันได้ยาก และแน่นอนว่ายิ่งเลียนแบบคนอื่นมากเท่าไร ก็ยิ่งไร้ซึ่งความเป็นธรรมชาติไปมากขึ้นเท่านั้น ดังนั้นคำกล่าวที่ว่า ‘คนตลก’ คือ ‘คนที่รู้จักตัวตนของตัวเองอย่างแท้จริง’ เพราะรู้ว่าจะหยิบจับงัดเอาเสน่ห์ตรงไหนออกมาใช้ก็อาจไม่เกินจริงเท่าไรนัก
ทั้งนี้ทางจิตวิทยาเองก็มีการระบุถึง ‘รูปแบบของอารมณ์ขัน’ (Style of Humor) เอาไว้ว่ามีอยู่ 2 ประเภทใหญ่ คือ อารมณ์ขันเชิงบวก และอารมณ์ขันเชิงลบ ซึ่งสำหรับ ‘อารมณ์ขันเชิงบวก’ (Adaptive Humor Style) มีอยู่ 2 แบบคือ ‘อารมณ์ขันแบบเป็นกันเอง’ (Affiliative Humor) ที่หมายถึงการพูดถึงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างมีอารมณ์ขัน ชอบที่จะสร้างความสุขและเสียงหัวเราะให้กับคนรอบข้าง และอีกแบบคือ ‘อารมณ์ขันแบบส่งเสริมตนเอง’ (Self-enhancing Humor) ที่หมายถึงการมองสิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นในชีวิตประจำวันด้วยอารมณ์ขัน ซึ่งจะเป็นการมองโลกตามความเป็นจริง มีสติ ไม่ดรามาฟูมฟายจนเกินเหตุ พร้อมเผชิญหน้ากับความเครียดได้ ซึ่งในข้อนี้ถือว่ามีจุดแข็งคือเป็นกลไกป้องกันปัญหาทางอารมณ์ได้อย่างดี โดยมีสิ่งสำคัญที่สุดคือการปรับมุมมองจากเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นสำคัญ
ในขณะที่ ‘อารมณ์ขันเชิงลบ’ (Maladaptive Humor Style) ก็มีอีก 2 ประเภทย่อย คือ อารมณ์ขันแบบก้าวร้าว (Aggressive Humor) ซึ่งหมายถึงการใช้ความตลกเป็นเครื่องมือในการประชดประชัน เย้ยหยัน หรือกระทบกระทั่งกับผู้อื่นเพื่อทำร้าย เช่น การนำข้อด้อยของผู้อื่นมาล้อเลียน ซึ่งมักนำมาซึ่งความไม่พอใจกับบุคคลรอบข้าง ซึ่งจะทำให้ความสัมพันธ์กับบุคคลรอบข้างถูกกระทบกระทั่งทั้งระดับระหว่างบุคคลหรืออาจใหญ่ไปถึงระดับสังคม และส่วนสุดท้ายคือ ‘อารมณ์ขันแบบล้อเลียนตัวเอง’ (Self-defeating Humor) ซึ่งหมายถึงการใช้อารมณ์ขันในการลดทอนคุณค่าผ่านการสบประมาทตนเอง ซึ่งนั่นคือถือเป็นกลไกการปรับตัวในเชิงหลีกหนีในรูปแบบหนึ่ง (อาจคล้ายกับที่มักพูดกันว่า “เล่นตัวเอง เจ็บน้อยสุด” ซึ่งถึงจะเป็นการเล่นเพื่อติดตลกแต่เป็นบ่อย ๆ ก็ไม่ดีกับใจนะ) ซึ่งอาจส่งผลเสียไปถึงการลดความนับถือในตนเอง และอาจก่อให้เกิดความไม่เสถียรทางอารมณ์
นอกจากนั้น เรื่องที่ไม่ควรนำมาเล่นตลกที่สุดอีกประเภทหนึ่งคือการเล่นมุกไม่ฮา พาเพื่อนเครียด (ฺBad Joke) ซึ่งหมายถึงมุกที่ล้อเลียนเหยียดหยามว่าด้วยหน้าตา รูปลักษณ์ เชื้อชาติ สีผิว เพศ และอื่น ๆ อีกมากมายที่คนฟังฟังแล้วขำไม่ออก หรือเป็นมุกตลกที่เล่นอย่างไม่อ่านสถานการณ์ แทนที่จะพลิกวิกฤตให้เป็นวินาสสันตะโร เราอาจลองเล่นมุกตลกด้วยอารมณ์ขันและทัศนคติเชิงบวกอาจดีทำให้มีเสน่ห์ดึงดูดใจเสียกว่า
สิ่งสำคัญที่สุดคือ ‘ตลกอย่างเป็นตัวเอง’ บนพื้นฐาน ‘การเคารพและให้เกียรติบุคคลอื่น’ อยู่เสมอ เพราะอารมณ์ขันคือหนึ่งในเครื่องการันตีความมีเสน่ห์เฉพาะตัวที่หาใครเปรียบไม่ได้ อีกทั้งยังเป็นการสะท้อนถึงความเป็นมนุษย์ของผู้คนนั้น ๆ
การอยู่ด้วยแล้วสบายใจ อาจเป็นเหตุผลง่าย ๆ ที่สรุปได้ว่าเพราะอะไรเราจึงมักชอบคนอารมณ์ดีที่มีความขบขันอยู่เสมอ เอาง่าย ๆ ว่าใคร ๆ ก็ชอบเรื่องสนุกและรักการมีรอยยิ้มและเสียงหัวเราะ และมนุษย์เราเรียนรู้ว่าการหัวเราะคือการแสดงซึ่งความสุขในรูปแบบหนึ่ง ดังนั้นการเป็นคนตะหลุกนอกเหนือไปจากทำให้ตัวเราเองมีรอยยิ้มและมีความสุขแล้ว ก็ยังเป็นการมอบรอยยิ้มและเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นด้วย
#SenseofHumor #คนตลก #ความตลก #อารมณ์ขัน
Content by Rosalyn J.
Graphic by Goongneegorn
อ้างอิง
Psychology Today: https://bit.ly/3XzMAyq
Medium: https://bit.ly/3Y6lEq9
Times of India: https://bit.ly/41MKjm1
Faculty of Psychology Chulalongkorn University: https://bit.ly/4hPwyrs
#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน
“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”