Spectrum

Spotlight: The Voice Pride

3 นาที

5

Share to

กรกฎาคม 14, 2025

3 นาที

5

กรกฎาคม 14, 2025

Share to

“วันนี้อาจจะเฟล คนยังไม่ค่อยดู เรตติ้งไม่ดี ถามว่าเสียใจไหม เสียใจ แต่โอ๋รู้สึกว่าสุดท้ายมันคือการสร้างพื้นที่ แต่ละคนที่มาแล้วเค้าได้มีที่ให้โชว์ของ แล้วพอมีนามสกุล The Voice มันก็น่าจะช่วยเรื่องการต่อยอดทำงานในอนาคตได้”

‘โอ๋ พัฒนี จรียะธนา’ Executive Producer และผู้ถือลิขสิทธิ์ The Voice Thailand เล่าให้เราฟังถึงที่มาที่ไปและการสู้เพื่อให้ได้สร้างตำนาน The Voice Pride ที่โดนวิพากษ์วิจารณ์ตั้งแต่วันแรกที่มีการแถลงข่าวว่าซีซั่นนี้รับเฉพาะ LGBTQ+

“โอ๋ไปไฟท์กับเจ้าของลิขสิทธิ์เกือบ 2 ปีกว่าเขาจะอนุญาต เขามีคำถามว่าทำไมต้องแบ่งแยก โอ๋ก็อธิบายว่ามันเป็นโอกาสพอดีที่ปีนี้ประเทศไทยผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม เป็นประเทศแรกของอาเซียน แล้วก็เป็นประเทศที่ 3 ของเอเชีย ก็เลยคิดถึงการทำ The Voice ขึ้นมา ตอนแรกเรียกว่าเป็น The Voice LGBTQ ด้วยซ้ำ แต่ก็เปลี่ยนเป็น The Voice Pride”

#ซีซั่นใหม่และโค้ชใหม่ – ส่วนผสมลงตัวเพื่อการสร้างพื้นที่ใหม่ ๆ ที่ตั้งใจเปิดโอกาสให้ LGBTQ+

นอกจากเป็นซีซั่นพิเศษแล้ว และซีซั่นนี้ยังมีการเปิดตัวโค้ชคนใหม่อย่าง ธามไท แพลงศิลป์, เบน ชลาทิศ ตันติวุฒิ, และแอม เสาวลักษณ์ ลีละบุตร ที่แต่ละคนต่างเปิดใจว่ามีความกังวลที่ต่างกัน โค้ชแอมเล่าว่ากังวลกับการทำตัวสนุกหน้ากล้อง ในขณะที่โค้ชเบนก็กลัวคนจะติดภาพจำว่าเป็นคนเฮี้ยบเกินไป

“จำได้ว่าทุกเขาก็จะเรียกไปบรีฟว่าต้องสนุกกว่านี้ ต้องขิงโค้ชด้วยกัน แล้วต้องลุกขึ้นบ้างอย่านั่งอยู่เฉย ๆ ไปเล่นกับผู้เข้าแข่งขันตรงหน้าเวที ซึ่งตอนนั้นพี่ไม่เคยทำสักอย่าง” – โค้ชแอม

“เคยมีรายการนึง ตอนนั้นเรามีหน้าที่เป็นผู้ปกป้องเงินรางวัล 10 ล้าน เพราะฉะนั้นต้องเฮี้ยบมาก ๆ เราก็จะค่อนข้างที่จะดูไม่ค่อยเป็นมิตรกับคน ซึ่งตอนนั้นโดนคอมเมนต์ด่าเยอะเลย” – โค้ชเบน

แต่โค้ชทั้งสองและโปรดิวเซอร์มองเห็นภาพเดียวกันว่าหน้าที่ของ The Voice Pride แตกต่างไปจากรายการแข่งขันร้องเพลงรายการอื่น และอาจต่างจาก The Voice ซีซั่นอื่น ๆ เสียด้วยซ้ำ เพราะผู้ร่วมแข่งขันในซีซั่นนี้หลายคนไม่ใช่คนหน้าใหม่ แต่ล้วนเป็นคนที่เคยเข้ามาออดิชั่นแล้วในซีซั่นก่อน ๆ หรือเคยพบเจอทีมงานและโค้ชมาบ้างจากการร่วมการกันในวงการเพลง และนอกจากจะมาเพื่อความภาคภูมิใจ หลายคนก็มีจุดหมายที่จะมาเอานามสกุล The Voice เพื่อไปต่อยอดสร้างงานสร้างอาชีพต่อไปในอนาคต

“ตอนรอบ Pre-audition มีคนเดินมาบอกว่า พี่ ขอบคุณมากเลยนะ ถ้าไม่เปิด The Voice Pride หนูคงไม่ได้เข้า หนูสมัครมาเป็นสิบปีแล้ว หนูไม่เคยเข้าได้เลย อีกหลายคนเลยขอบคุณที่ให้เวที เพราะว่าบางทีพอไปแข่งรอบ The Voice ปกติ เขาก็จะแต่งเริ่ดมากไม่ได้ พูดอะไรมากไม่ได้มันมีข้อจำกัดเยอะ เราก็รู้สึกว่าเฮ้ย ลองดูวะ เราเปิดเวทีนี้ให้สุด ๆ ไปเลย” – โปรดิวเซอร์โอ๋

“The Voice Pride แตกต่างจากที่เราเคยทำ เพราะเรามีหน้าที่มาส่งต่อความฝันน่ะ เพราะว่าผู้เข้าแข่งขันแต่ละคนเขาอยากมาประกวดเพื่อจะได้ร้องเพลง ได้ทำในสิ่งที่เขารัก เขาอยากมีชื่อเสียง เขาอยากได้ต่อยอดในสิ่งที่เขารัก เพราะฉะนั้นเราต้องใส่ใจเขามาก ๆ เมื่อเรากดปุ่มแล้วเราหันมา เราต้องรับผิดชอบชีวิตเขาแล้ว ไม่ใช่แค่ในรายการ แต่รวมสิ่งที่จะเกิดขึ้นหลังจากนี้ด้วย เพราะจบรายการไปแล้ว เขาจะไปต่อยอดจากสิ่งนี้” – โค้ชเบน

“เราคิดถึงเขามากกว่าการทำงานร่วมกันในรายการอยู่แล้ว มันเกิดความผูกพัน เหมือนลูกจริง ๆ เลย จากที่พูดกันแบบเล่น ๆ ว่าลูก ๆ พี่แอมกำลังซ้อมอยู่ มันเริ่มซึมซับเข้าไป เป็นความผูกพันจริง ๆ แต่ก่อนเวลาดูรายการเรางงว่าทำไมคนเขาไปรายการพวกนี้ต้องมีร้องห่มร้องไห้อะไรกัน ต้องอินขนาดนั้นเลยเหรอ แต่พอมาทำเองเราถึงกับอ๋อ เข้าใจแล้ว มันเกิดความอยากให้เขาเฉิดฉาย เรามีกี่คน เราก็อยากให้เขาพุ่ง ถึงผู้ชนะมันมีตำแหน่งเดียว แต่เราไม่อยากให้ใครกลับไปแบบรู้สึกพ่ายแพ้ เราอยากให้เขารู้สึกว่าได้ทำอะไรที่สนุกเต็มที่แล้ว แล้วมันไม่ได้แปลว่าเขาไม่เก่ง” – โค้ชแอม

#ความท้าทายของชาวไพรด์ – ผู้จัด ทีมงาน โค้ช และผู้เข้าแข่งขันต่างเดิมพันด้วย ‘ทุกอย่าง’

คุณโอ๋ โค้ชแอม และโค้ชเบน เล่าว่ารับรู้ถึงแรงกดดันและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ที่ The Voice Pride ได้รับตั้งแต่เปิดตัวว่าจะมีซีซั่นพิเศษนี้ เสียงวิจารณ์ส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ที่ทีมงานได้ยินคือการติติงว่าเพราะอะไร LGBTQ+ ถึงต้องมีซีซั่นแยก นี่เป็นการเอา “คนไม่เก่ง แค่เป็นเกย์” มา “สร้างสีสัน” หรือเปล่า? ซึ่งทีมงานและโค้ชเองต่างมั่นใจว่าผู้เข้าแข่งกันทุกคนมีดี เก่ง และไม่น้อยหน้าผู้เข้าแข่งขันในซีซั่นอื่น และเมื่อมีเดิมพันเป็นมากกว่าการชนะ แต่รวมถึงความภาคภูมิใจ ศักดิ์ศรี และการพยายามลบคำสบประมาททุกคนจึงทุ่มทุกอย่างให้สมกับโอกาสที่ได้รับมา

“เสน่ห์อย่างนึงของ The Voice Pride คือความเยอะของชาวเราอ่ะ มันเยอะ รางวัลแสนนึงนะแต่แค่ค่าชุดสี่รอบก็ล่อไปแปดแสนแล้ว เพราะว่ามันไม่ได้อยู่ที่ว่าชัยชนะอย่างเดียว มันคือศักดิ์ศรี มันคือศักดิ์ศรี! แม้จะมีตอนที่ทีมงานบอกว่ารอบนี้ไม่มีงบแต่งตัวนะคะ ก็ไม่เห็นว่าใครเบาเลย ไม่มีงบแต่งตัวนะคะ แต่ว่าเรฟที่ลูกทีมส่งมาแต่ละชุดอ่ะ มันเกินหมื่นหมดเลย ไหนจะค่าเพลง  แต่ละเพลงนะ โอ้โห ไม่แคร์ค่าลิขสิทธิ์ แล้วเลือกไปแล้วร้องไปแล้ว มีความเสี่ยงที่จะติดลิขสิทธิ์ตั้งหลายเพลงนะ แต่อัดไปแล้วอ่ะแล้วรายการก็ใจดียอม เพราะทุกคนเต็มที่กับรายการมาก”  – โค้ชเบน

“บางทีเพลงยังเคาะกันไม่เสร็จเลย ชุดมาแล้ว ฉันจะใส่อันนี้ เดี๋ยวฉันจะไปซื้อชุดนั้น แล้วทุกคนช่วยกัน  ในขณะที่เป็นคู่แข่งแต่ก็เป็นเพื่อนกันหมด ช่วยกันคิดชุด ช่วยกันแบบเลือกเพลง เธอๆๆ ร้องแบบนี้สิ เธอเอาเพลงนี้เด็ดเลิศ เหมือนเป็นงานกลุ่มที่ทุกคนทำด้วยกัน แล้วมันกลายเป็นมากกว่าการแข่งขัน” – โค้ชแอม

#พื้นที่ของเควียร์ในสื่อหลัก – มากกว่าการชนะและคว้ารางวัล คือการบอกเควียร์ผู้ชมทางบ้านว่า “เราอยู่ตรงนี้”

ความงาม ความเริ่ด และความคิดสร้างสรรค์เบื้องหลังจอแก้วไม่ใช่เรื่องใหม่ในวงการดนตรีและการแสดง ดังที่เรารู้กันดีว่าคนเพศหลากหลายอยู่ตรงนี้มาตลอด เพียงแต่ก่อนหน้านี้การเป็นเควียร์บนสื่อกระแสหลักมีพื้นที่จำกัด แต่ละรายการมักจะมี ‘โควต้า’ ที่ต่อให้ไม่พูดออกมาก็รู้กันว่าเราจะได้เห็นกะเทย ตุ๊ดแต๋ว หรือทรงทอม พร้อมกันในรายการเดียวหลาย ๆ คนไม่ได้ เพราะความหลากหลายเหล่านั้นดันถูกมองว่า “มากไป” ในสื่อที่มีเพศตามขนบเป็นกระแสหลัก

“เราอาจจะเป็นรายการแรกที่เอา LGBTQ+ มารวมกันในรายการ แต่เราอยู่ตรงนี้มาตลอด อยู่ในสังคมอุตสาหกรรมดนตรีบ้านเรามานานแล้วนะ สมัยตอนเด็กก็จะมีคุณสาริกา กิ่งทอง มีคุณเจินเจิน เป็นผู้กรุยทาง ดนตรีมันเป็นภาษาสากล มันอยู่กับทุกคน เป็นภาษาที่ทำให้เราอินได้ ทั้งความรู้สึก ความสุข ความเศร้า ความฮึกเหิม อะไร ดนตรีมันคือส่วนหนึ่งในชีวิตคนเรา ไม่เคยแบ่งแยก”  – โค้ชเบน

เพราะฉะนั้นหากจะพูดให้ถูกต้อง การมีอยู่ของ The Voice Pride ไม่ใช่การสร้างอภิสิทธิ์ให้ผู้เข้าแข่งขันที่เป็นคนเพศหลากหลาย แต่เป็นการเรียกคืนพื้นที่ที่เคยถูกริดรอนไปต่างหาก

“ไม่ใช่แค่การให้พื้นที่ได้แข่ง ได้ชนะ แต่มันเป็นเรื่องของความภาคภูมิใจด้วย บางคนยังไม่เคยเปิดตัวกับครอบครัว บางบ้านยังทำใจไม่ได้ เพิ่งมาเห็นลูกแต่งสาวเต็มที่บนเวทีนี้ แต่พอกล้องแพนไป ครอบครัวก็น้ำตาไหล บางคนบอกว่าอยากได้โมเมนต์นี้มาตลอดชีวิต วันนี้แม่กอดฉันแล้ว พ่อกอดฉันแล้ว” – โค้ชแอม

The Voice Pride ทุกวันอาทิตย์ เวลา 20.30 น. ทางช่อง 7HD และรับชมย้อนหลังได้ทาง Netflix

#TheVoicePride #TheVoiceTH #ช่อง7HD

#SPECTRUM #พื้นที่ความคิดของทุกสีสัน

“กรุณาแสดงความเห็นอย่างสุภาพและสร้างสรรค์ ทีมงานสงวนสิทธิ์ในการลบหรือดำเนินการตามสมควร กับความเห็นที่สร้างความเกลียดชัง (hate speech) หรือละเมิดสิทธิของบุคคลอื่น”

a senior baby girl